ขณะเดียวกับที่จูเก่อเยว่ เยียนสวินและเว่ยซูเย่ เร่งม้าทะยานสู่คฤหาสน์ของจูเก่อสี ภายในหอฉูเหนียงที่เสียงดนตรีไม่เคยขาดสาย กลับตกอยู่ในห้วงมรณะที่วังเวงจับใจ
เลือดสดค่อยๆ รินหลั่งลงมาตามมีดสั้นที่คมกริบ หยดบนพรมขนอูฐขาวจากแดนซีอวี้ ซึมซ่านอย่างรวดเร็ว กลายเป็นภาพโลหิตดวงหนึ่ง ลมราตรีพัดเข้ามาทางหน้าต่าง สลายความหอมกรุ่นที่ฟุ่มเฟือยในห้อง
โคมไฟในหอฉูเหนียงสว่างจ้า จูเก่อสีที่ใบหน้าแตกตื่นลนลานบีบลำคอตัวเองแน่น จ้องมองเด็กหญิงที่สูงไม่ถึงไหล่ตนด้วยแววตาเหลือเชื่อ เม็ดทรายในโหลนาฬิกาไหลลงเชื่องช้า ในที่สุด... ชายชราก็คุกเข่ากระแทกพื้นดังพลั่ก
“ท่านกำลังขอร้องให้ข้าละเว้นท่าน?” เสียงของฉู่เฉียวเบาหวิว นางก้มหน้านิดหนึ่ง หางตาปรายมองบนใบหน้าชายชรา กระเพาะอาหารปั่นป่วนคลื่นเหียนจนอยากขย้อนออก ในค่ำคืนนั้น ซากร่างอุจาดตาของจือเซียงและคนอื่นๆ ประหนึ่งมีดดาบ เสียบแทงจิตวิญญาณของนาง นางโน้มหน้าเข้าไปช้าๆ ถามว่า “เคยมีคนมากมายวิงวอนให้ท่านละเว้นชีวิต ท่านไฉนไม่ละเว้น”
จูเก่อสีฟุบหมอบแทบพื้น เลือดที่ลำคอฉีดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ นายท่านผู้เฒ่าตระกูลสูงศักดิ์ที่กินดีอยู่ดีแต่รักตัวกลัวตาย ยามนี้หวั่นหวาดจนตัวสั่นงันงก คืบคลานไปข้างหน้าไม่หยุดด้วยมือที่โชกเลือด หมายหลีกห่างจากเด็กหญิงปีศาจคนนี้ เลือดแดงสดลากยาวเป็นทาง ช่างทิ่มแทงนัยต์ตาปานนั้น ช่างน่าสะพรึงปานนั้น
“ท่านอยู่มานานเกินพอแล้ว สมควรถึงเวลาชดใช้ สวรรค์ไม่เก็บท่าน ข้าจะเก็บเอง” เสียงดังควับ คมมีดตวัดผ่านกระดูก ขาดสะบั้นเป็นแนวเสมอกัน น้ำพุโลหิตทะลักพรวด สาดเป็นสีม่วงคล้ำที่อับเหม็นเต็มพื้น
ฉู่เฉียวหิ้วศีรษะที่ตายตาไม่หลับของจูเก่อสีขึ้นมา เขวี้ยงลงพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเดินไปทางดรุณีสิบคนที่กอดกันกลมอยู่มุมห้อง
พวกเด็กน้อยมองนางด้วยแววตาหวาดผวา ยิ่งเบียดชิดกันมากกว่าเดิม ในสายตาของพวกนาง เด็กหญิงที่จู่ๆ ก็สลัดหลุดจากเชือกและฆ่านายท่านผู้เฒ่าจูเก่ออย่างอาจหาญผู้นี้เป็นคนบ้าชัดๆ น่าสยดสยองไม่ต่างจากปีศาจร้ายในขุมนรก แต่กลับไม่สังหรณ์สักนิดว่า หากไม่มีเด็กหญิงคนนี้ จะมีพวกนางสักกี่คนที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยถึงเวลานี้
ฉุดดึงเด็กหญิงหน้าตาสะสวยอายุสิบขวบเศษคนหนึ่งออกมา เพียงเห็นเด็กคนนั้นตระหนกจนหน้าขาวเผือด ริมฝีปากสั่นระริก ฉู่เฉียวจ้องหน้านางเมื่อถามชืดๆ ว่า” กลัวไหม?”
เด็กน้อยตาเบิกค้าง ผงกศีรษะระรัว ผวาว่าตัวเองจะกลายเป็นศพที่สอง น้ำตาน้ำมูกไหลย้อยเป็นทาง กลับมิกล้าเปล่งเสียง
“ในเมื่อกลัว ก็แหกปากร้องออกมา”
จะอย่างไรก็เป็นเด็กในครอบครัวยากจน แม้อายุน้อย แต่พอรู้ความ เด็กคนนั้นส่ายหน้าสะอื้น “ข้าไม่ร้อง ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าขอร้อง”
ฉู่เฉียวย่นคิ้วอย่างหงุดหงิด “ข้าพูดไม่ชัดเจนหรือไร ร้องออกมา”
“ข้าขอร้อง” เด็กน้อยคร่ำครวญไม่ได้ศัพท์ “ปล่อยข้าไปเถอะ ให้ข้าเป็นวัวเป็นม้า... อ๊า!”
เด็กหญิงแปดขวบพลันชูมีดสั้นขึ้นมา พาดไปที่ก้านคอของเด็กคนนั้น จากเดิมที่วิงวอนขอชีวิต เปลี่ยนเป็นแหกปากร้องออกมาสุดเสียง ได้ยินเสียงดังฉึก มีดสั้นที่แหลมคมเฉียดลำคอของนางไป ปักแน่นบนเสาเตียงข้างหลังนาง เด็กน้อยกลับไม่เป็นอันตรายแม้เส้นผม
“เรื่องอะไร เหล่าเย(คำเรียกนายท่านผู้เฒ่า) เกิดอะไรขึ้น... อ๊า!ฆ่าคนตาย!” บ่าวคนสนิทที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยินเสียง จึงชะโงกหน้าเข้ามาอย่างระมัดระวัง แต่ไม่ทันสิ้นเสียงก็เห็นร่างอาบเลือดของจูเก่อสีนอนเหยียดยาวบนพื้น ถึงกับแตกตื่นขวัญกระเจิง อุทานตกใจคำหนึ่ง ทรุดนั่งกระแทกพื้น แล้วคลานเข่าลุกขึ้น วิ่งโซเซออกจากห้องไป
ฉู่เฉียวเดาะมีดสั้นในมือ คำนวณเวลาในใจ คะเนว่าผู้คุ้มกันทั้งเรือนล้วนได้ยินกันทั่ว มีดบินพลันพุ่งจากมือในพริบตา ทะลวงหลังศีรษะของบ่าวคนนั้น ทะลุออกหน้าผาก!
เสียงฝีเท้าชุลมุนดังขึ้นในบัดดล เด็กหญิงรีบกลับไปนั่งรวมกับดรุณีทาสกลุ่มนั้น เพียงเห็นชายฉกรรจ์ยี่สิบกว่าคนทยอยพรวดพราดเข้ามา พอเห็นตัวกับหัวของจูเก่อสีอยู่คนละทิศ พลันหน้าคล้ำเป็นโคลน
“เกิดอะไรขึ้น” หัวหน้าผู้คุ้มกันตวาดเสียงกร้าวใส่เหล่าดรุณีทาส
“ฆ่าคนตาย!” เด็กหญิงแปดขวบชิงตะโกนตัดหน้าคนอื่น น้ำตาพรั่งพรูลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ สะอื้นไห้เสียงสั่น “ฆ่าคนแล้ว ฮือ... ฆ่านายท่านผู้เฒ่า ยังฆ่า... น่ากลัวเหลือเกิน ฮือ...”
เด็กน้อยคร่ำครวญน้ำมูกน้ำตาไหล ดวงหน้าน้อยๆ ตกใจจนเผือดสี พูดจาตะกุกตะกัก คล้ายโคนลิ้นยังสั่นไม่หยุด
หัวหน้าผู้คุ้มกันตะคอกถาม “หนีไปทางไหนแล้ว”
“นั่น!” ฉู่เฉียวชี้หน้าต่างที่แง้มนิดๆ ทางทิศใต้ “หนีไปทางนั้นแล้ว!”
“อยู่ทางนี้สองสามคน ที่เหลือตามข้ามา!”
เหล่าผู้คุ้มกันโหมฮือออกจากห้อง เพียงเหลือไว้สามคนเฝ้าศพนายท่านผู้เฒ่า
เด็กคนอื่นๆ ล้วนตื่นตะลึงจ้องหน้าฉู่เฉียว เพียงเห็นเด็กหญิงที่เพิ่งโกหกพวกผู้คุ้มกันเหล่านั้น ถือหน้าไม้อยู่ในมือ ใบหน้าปราศจากเค้ารอยตื่นกลัว นางยิ้มมองบ่าวที่กำลังสำรวจตรวจศพของจูเก่อสี ก่อนผิวปากคราหนึ่งด้วยท่าทีปลอดโปร่ง “นี่! อย่าเสียเวลาเลย”
สามคนหันขวับมา พลันแตกตื่นตาโต เสียงไม่ทันหลุดจากปาก ธนูสามดอกก็พุ่งยิงมา ปักใส่กะโหลกที่ตกตะลึงทั้งสามใบราวกับดาวตก หยดเลือดไหลพราก สามซากล้มตึงกับพื้นพร้อมเพรียง ติดตามนายท่านผู้เฒ่าจูเก่อของพวกเขาไปพบยมบาลด้วยความจงรักภักดี
“อา!” ดรุณีทาสคนหนึ่งอุทานขึ้นมา ฉู่เฉียวรีบยกมือปิดปากนาง “ทีบอกให้ร้องไม่ร้อง ทีนี้กลับจะสาระแน”
เด็กน้อยทั้งหมดล้วนหน้าดำมืดเป็นสีโคลน พากันร้องไห้กระจองอแง ฉู่เฉียวถอนใจยืดยาว กล่าวเนิบๆ ว่า “คำพูดของข้าต่อจากนี้สำคัญมาก พวกเจ้าต้องตั้งใจฟังให้ดี จึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ เข้าใจไหม?”
ฝูงเด็กเงียบเสียงในบัดดล เบิกตากว้างมองมาที่นาง
“ข้าน่ะ เป็นคนของพ่อบ้านจูซุ่น เฒ่าหัวงูสันดานโฉดชั่วคนนี้ชอบทำร้ายเด็ก พ่อบ้านจูซุ่นเห็นแล้วรู้สึกขัดลูกตา จึงให้ข้ามาฆ่าเขา นี่เรียกว่าขจัดภัยเพื่อมวลชน พวกเจ้าใครก็ห้ามเอ่ยถึงพ่อบ้านจูซุ่น ไม่ว่าคนของคฤหาสน์จูเก่อจะลงโทษด้วยอะไร ก็ห้ามพูดเด็ดขาด แล้วพ่อบ้านจูจะมาช่วยพวกเจ้าเอง จำไว้แล้วใช่ไหม?”
ฝูงเด็กพยักหน้าระรัว แต่ละคนเหมือนกระต่ายน้อยขวัญผวา
ฉู่เฉียวยิ้มบางๆ ตาข่ายเหวี่ยงออกไปเรียบร้อย รอแค่ปลาน้อยว่ายเข้ามา ต่อให้เด็กพวกนี้มีน้ำใจถึงขั้นยอมถูกทำโทษจนตายก็ไม่ปริปาก หรือต่อให้พูดออกไป คนของคฤหาสน์จูเก่อก็ใช่ว่าจะเชื่อ ทว่าบ่าวทั้งเรือนชิงซานต่างเห็นกับตาว่าคนของจูซุ่นพานางมาส่งที่คฤหาสน์ของจูเก่อสี อาศัยข้อนี้ เขาก็ดิ้นไม่หลุดแล้ว ม้วยมรณัง... อย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เหลือแค่ว่า เขาจะตายด้วยวิธีใดเท่านั้น
เหลือบมองนาฬิกาทรายแวบหนึ่ง เวลากำลังเหมาะเจาะ ยังทันให้ย่องกลับไปรับเสี่ยวปาที่หนีออกมาทางประตูหลัง
ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่ง
ขณะจะไปจากประตูใหญ่ มือข้างหนึ่งพลันคว้าข้อเท้าเปลือยเปล่าของนางไว้แน่น ฉู่เฉียวก้มมอง ที่แท้เป็นผู้คุ้มกันที่ยังตายไม่สนิท
“ก้มหัวให้คนชั่ว สมควรตาย!” ดวงตาฉู่เฉียวสาดประกายเย็นยะเยียบ ยกมือถอนลูกธนูบนศีรษะมันออกมา ซากร่างนั้นกระตุกสองสามทีก็แน่นิ่งไป
ฉู่เฉียวพยายามงัดมือของมันออก หลายต่อหลายครั้งก็ยังเอาขาออกมาไม่ได้ พลันหักใจอำมหิต ชักดาบที่ข้างเอวของผู้คุ้มกันคนนั้น เสียงดังฉับ สะบั้นมือของมันจนขาด!
ลี หลินลี่...ผู้แปล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น