ม่านรัตติกาลหม่นดำเหนือมวลหิมะเวิ้งว้าง
แว่วเสียงนกเค้าแมวครวญคร่ำ สองปีกมืดดำเวียนวนเหนือเวหา จากนภากาศมองลงมา นครเจินหวงปานประดุจมุกงามเม็ดหนึ่งท่ามกลางธารน้ำใสพิสุทธิ์
ผุดผาดบาดตา ส่องประกายพราวระยับ
และในยามนั้น
นอกขอบของเม็ดมุกอันแวววาว กลับมีกลุ่มชนต่างเผ่าที่เสื้อผ้ามอมแมมหน้าตาซูบเซียวซึ่งตัดกับความเลิศหรูอลังการของนครหลวงกำลังย่างเท้าก้าวเดินอย่างยากเย็น
ลมหนาวที่เสียดกระดูกทะลุผ่านชั้นเสื้อผ้าที่บางเบาและเก่าคร่ำของชนต่างเผ่า
บาดลึกผิวหนังแข็งเย็นจนม่วงคล้ำของพวกเขาราวกับคมมีด พายุพัดกระหน่ำ ราษฎรเหล่านั้นเบียดชิดกันเป็นกระจุก
เพื่อต้านทานลมหนาวที่แสนหฤโหด ไม่มีการปกป้องของกำแพงตึก ฤดูหนาวของที่ราบสูงหงชวนนับวันยิ่งสุดจะทานทน
ในกลุ่มคนพลันปรากฏเสียงทารกแผดร้อง
จากเสียงที่โดดเดี่ยวลำพัง ค่อยๆ แผ่ขยายกว้าง ค่อยๆ ลุกลามออกไปจนทั่วทั้งกลุ่ม
‘ฟึ่บ’ เสียงฟาดแส้ก้องดัง หัวหน้าขบวนควบม้าขึ้นหน้าด้วยสีหน้าเครียดขึ้ง ตะคอกว่า “หุบปาก!”
แต่ทว่า
เด็กทารกไม่ประสาเหล่านั้นไหนเลยเชื่อฟังคำสั่งเขา เสียงร้องไห้ยังคงดำเนินต่อไป หัวหน้าขบวนมุ่นคิ้วเมื่อกระตุ้นม้าเดินฝ่าฝูงชน
ก้มเอวคว้าเด็กทารกจากอ้อมแขนของหญิงสาวนางหนึ่งไป แล้วชูสูง ตามด้วยเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก!
“อา!” เสียงอุทานแสบหูดังขึ้นทันควัน
มารดาของทารกกรีดร้องสนั่น เข่ากระแทกพื้นโดยแรง อุ้มเด็กน้อยที่ปราศจากสุ้มเสียงอีกต่อไปขึ้นมากอด
พร้อมปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
สายตาดุดันของหัวหน้าขบวน
กวาดผ่านใบหน้าผู้อพยพต่างเผ่าราวกับเหยี่ยวล่าเหยื่อ ผ่านตรงไหน ตรงนั้นพลันเงียบกริบ
บนผืนดินเวิ้งว้าง
เหลือเพียงเสียงร้องไห้ของหญิงคนนั้น หัวหน้าขบวนชักดาบออกมา ฟันฉับที่กลางหลังของนาง
เลือดสดกระเซ็นสาด ราดพื้นหิมะที่ขาวเผือด
ลมหายใจของฉู่เฉียวหยุดชะงักในบัดดล
ริมฝีปากขบสนิท สองมือม้วนเกร็ง ตั้งท่าจะพุ่งออกไป
“เจ้าอยากตายหรือ?”
เยียนสวินกอดนางไว้แน่น กระซิบที่ริมหู “พวกนั้นเป็นทหารของตระกูลเว่ย วู่วามไม่ได้”
“ที่นี่ก็แล้วกัน”
หัวหน้าขบวนร้องสั่งผู้ใต้บัญชา เหล่าพลทหารเกราะเหล็กพอได้ยินก็พลิกตัวลงม้าอย่างว่องไว
ก่อนชักกระบี่ทหารม้าจากข้างเอว กระตุกเชือกคราหนึ่ง ชาวบ้านที่ถูกมัดสองเท้าก็ล้มครืนกับพื้นไปตามๆ
กัน
หัวหน้าขบวนเม้มปากเป็นเส้นตรง ค่อยๆ ถ่มออกมาคำหนึ่ง “ฆ่า!”
‘ฉับ’ เสียงลงดาบพร้อมพรัก เหล่าพลทหารรุ่นหนุ่มสีหน้าประหนึ่งแผ่นเหล็ก
ไม่แม้แต่กะพริบตา ศีรษะหลายสิบใบก็หลุดคว้าง กลิ้งไปตามพื้นหิมะหนาเตอะ โลหิตอุ่นร้อนฉีดพุ่งจากลำคอ
ไหลรวมเป็นกระแสธารคาวฉุน ทว่าพริบตาก็ถูกอากาศอันหนาวเหน็บจับตัวเป็นน้ำแข็ง
เด็กหญิงขบริมฝีปากแน่น
ซ่อนอยู่หลังเนินหิมะมองดูภาพสังหารหมู่ระยะประชิดฉากนี้ หัวใจบีบเกร็งรุนแรง แววตาเป็นประกาย
คล้ายแสงดาวที่รุ่งโรจน์ ทว่าในนั้นกลับวิบวับด้วยแววเครียดเคร่งชนิดหนึ่ง
มือของเยียนสวินเย็นเฉียบเล็กน้อย
แม้ยังคงกุมมือนางไว้ไม่ปล่อย แต่กลับมีความรู้สึกชนิดหนึ่งไหลวนอยู่ในกระแสโลหิต ทำให้เขาไม่กล้าหันไปสบตาตรงๆ
กับเด็กหญิง ร่างกายเล็กๆ ในอ้อมแขนแผ่ซ่านไอร้อนกรุ่น แทบจะลวกมือเขาจนสุก
เขามองดูพวกชนชั้นปกครองแห่งราชอาณาจักรเงื้อง่าเหนือศีรษะราษฎรเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เพียงรู้สึกว่าสิ่งที่คนพวกนี้ตัดทิ้งหาใช่ศีรษะมนุษย์ แต่เป็นความศรัทธาของตัวเอง
ทิฐิซึ่งเกาะกุมจิตใจมานานปี ถูกทำให้หลุดร่อนออกไปทีละชั้น เหลือแต่บาดแผลทั่วร่าง
ไม่มีที่เก็บซ่อนความละอาย
ภายใต้การกวัดแกว่งกระบี่ทหารม้า
โลหิตกระฉูดสี่ทิศ ใบหน้าของราษฎรต่างเผ่าล้วนสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวั่นเกรงต่อความตายที่กำลังเผชิญอยู่แม้แต่น้อย
ฉู่เฉียวมองเห็นอย่างชัดแจ้ง นั่นไม่ใช่ความด้านชาที่เกิดจากความพรั่นพรึงถึงขีดสุด
ไม่ใช่ความสิ้นหวังที่ไร้ซึ่งความหวังทั้งปวง ยิ่งไม่ใช่หมดอาลัยตายอยากทั้งที่รู้แก่ใจว่าตัวเองบริสุทธิ์
แต่เป็นความเข้มแข็งที่เด็ดเดี่ยว เป็นความเคียดแค้นถึงกระดูก คนทั้งหมดล้วนเงียบงัน
ไม่มีการร้องห่มร้องไห้ ไม่มีการสาปแช่ง แม้แต่เด็กน้อยในอ้อมแขนของคนแก่ก็ยังเชื่องเชื่อ
พวกเขาเบิกตาทั้งสอง มองดูเพื่อนร่วมเผ่าตกตายไปทีละคนภายใต้คมดาบของเพชรฆาต ด้วยแววตาจัดจ้า
ทว่าโหมกระพือด้วยระลอกคลื่นขุมมหึมา
นั่นเป็นความคับแค้นที่เทพเทวาบนสรวงสวรรค์ยังต้องสะท้าน
เป็นความอาฆาตที่พญามารยังต้องสยบ!
ความโกรธขึ้งและขุ่นแค้นที่ถูกเก็บกดในใจส่วนลึกค่อยๆ
แผ่ซ่านออกมา กำปั้นของเด็กหญิงม้วนแน่น เหมือนลูกหมาป่ากระหายโลหิต
จังหวะนั้นเอง
ปรากฏเสียงเกือกม้าที่เร่งร้อนแว่วมา พร้อมกับเสียงตวาดเดือดดาลของชายหนุ่ม “หยุดมือ! หยุดมือเดี๋ยวนี้!”
ม้าศึกสีขาวควบมาถึงเร็วรี่
คุณชายอ่อนวัยพลิกตัวกระโดดลง ตวัดแส้ฟาดใส่ข้อมือของไพร่พลถืออาวุธ หยัดยืนบดบังเบื้องหน้าผู้อพยพ
ก่อนบันดาลโทสะเดือดพล่านใส่หัวหน้าขบวนผู้นั้น “เจียงเฮ่อ ท่านทำอะไร”
“ขุนพลน้อยซูเย่
ข้าได้รับคำสั่งทหาร กำลังสำเร็จโทษพวกกบฏ” หัวหน้าขบวนพอเห็นคุณชาย หัวคิ้วขมวดเบาๆ
แต่ยังคงลงจากหลังม้าโค้งคำนับอย่างนบนอบ พลางกล่าวเสียงขรึม
“กบฏ?”
เว่ยซูเย่ขมวดคิ้วเป็นปม ชี้มือไปทางคนแก่และสตรีอ่อนแอเต็มพื้นด้วยแววตาขุ่นเคือง
น้ำเสียงดุดันเฉียบขาด “ใครเป็นกบฏ พวกนี้หรือ? ผู้ใดให้อำนาจท่าน ผู้ใดอนุญาตให้ท่านทำเช่นนี้”
เจียงเฮ่อสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
เหมือนก้อนหินที่ดึงดัน “ขุนพลน้อย เป็นราชโองการของวังเซิ่งจิน เป็นอาของท่านยื่นฎีกาด้วยตัวเอง
สภามนตรีสูงสุดร่วมกันลงมติ พี่ชายของท่านเป็นคนลงนามอนุมัติ ผู้อาวุโสตระกูลเว่ยทั้งหมดร่วมกันตัดสินใจ
บริวารแค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น”
เว่ยซูเย่ตกตะลึงตาค้าง
เขาหันศีรษะอย่างเหม่อลอย กวาดมองใบหน้าผู้อพยพทีละคน ราษฎรต่างเผ่าที่เผชิญหน้ากับความตายโดยไม่แม้แต่ขมวดคิ้วเหล่านี้
ทว่าพริบตาที่เห็นเขา สีหน้ากลับแปรเปลี่ยน หมดปัญญาอำพรางเพลิงแค้นในดวงตาไว้ได้อีกต่อไป
ยายเฒ่าคนหนึ่งลุกพรวด สบถด่าออกมาโดยไม่สนใจทหารที่ขนาบสองฟาก “เจ้าคนสับปลับ! คนทรยศไร้ยางอาย! สวรรค์จะลงทัณฑ์เจ้า!”
ง้าวเล่มหนึ่งฟันฉับใส่บั้นเอว
เลือดสดไหลรินลงมาตามคมดาบ ลำตัวของหญิงชราแทบขาดเป็นสองท่อน ร่างอ่อนระทวยลงพื้น แต่นางเก็บแรงเฮือกสุดท้ายถ่มโลหิตข้นคลั่กใส่ชายเสื้อขาวสะอาดของเว่ยซูเย่คำหนึ่ง
ก่อนเปล่งเสียงหัวเราะสาปแช่ง “เป็นผี... เป็นผีก็ไม่... ไม่ละ... ละเว้นเจ้า”
เว่ยซูเย่หน้าดำหมอง
ของเหลวน่าขยะแขยงคำนั้นยังติดอยู่ที่ปลายชุดยาวของเขา แต่เขากลับไม่ไปปัดเช็ด เขาเพียงเม้มปากแน่น
มองดูซากศพระเกะระกะเต็มพื้นและดวงตาที่ฉายแววเจ็บแค้นนับไม่ถ้วนเหล่านั้น
“ขุนพลน้อย”
เจียงเฮ่อถอนใจคำหนึ่ง เดินมาหาพลางกล่าว “ราชอาณาจักรไม่มีเงินเหลือเฟือเลี้ยงดูคนเหล่านี้
สภามนตรีสูงสุดก็คงไม่ออกทุนจัดสร้างที่อยู่อาศัยให้พวกเขา ท่านเป็นลูกหลานตระกูลเว่ย
ควรเคารพการตัดสินใจของผู้ใหญ่ในตระกูล ปกป้องผลประโยชน์ของตระกูล”
ความร้อนระอุปานหินละลายใต้ภูเขาไฟขุมหนึ่งแล่นสู่โพรงอกของเว่ยซูเย่
ดวงตาของเขาแดงก่ำ เงียบงันไร้วาจา เจียงเฮ่อขมวดคิ้ว หันไปโบกมือสั่งทหารพร้อมกับผงกศีรษะนิดๆ
เหล่าพลทหารพอรับคำสั่งก็เงื้อดาบเตรียมเข่นฆ่าต่อไป
“คนชั่ว!” สุ้มเสียงกังวานใสพลันดังขึ้น
เพียงเห็นท้ายสุดของฝูงชน ใบหน้าเล็กๆ โผล่ขึ้นจากอ้อมแขนของมารดาตัวเอง ดวงตาปราศจากหยาดน้ำ
ทว่าแดงก่ำ ตะโกนเสียงก้อง “คนหลอกลวง ไหนบอกว่าจะพาพวกเรามาเมืองหลวง อยู่ในบ้านที่กันลมกันฝน
ไหนบอกว่าจะให้ทุกคนกินอิ่ม มีเสื้อผ้าอบอุ่น ไหนบอกว่า...”
ธนูคมกริบพุ่งขวับออกไป
ทักษะเกาทัณฑ์ของแม่ทัพเจียงเฮ่อแม่นยำอย่างยิ่ง แค่กลอกตาก็สามารถยุติถ้อยคำที่กำลังจะหลุดปากของเด็กน้อย
หัวธนูทะลุผ่านคอหอย เลือดแดงสดทะลักไหลจากท้ายทอย!
“ลงมือ!” เจียงเฮ่อชักดาบเมื่อตวาดเสียงก้อง
“หยุดมือ!”
ขุนพลน้อยหัวใจสลายไปกับวาจาแต่ละคำของเด็กน้อย
เขาถลาขึ้นหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผลักทหารสองนายออกไป
“จับขุนพลน้อยไว้!” เจียงเฮ่อตวาดสั่ง
พลทหารหลายนายรีบปราดขึ้นมา ใช้วิธีกอดรัดตะลุมบอน จับตัวเว่ยซูเย่ไว้อย่างแน่นหนา
การสังหารหมู่ที่ปราศจากมนุษยธรรมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เลือดสดเจิ่งนอง โคลนและโลหิตไหลปะปน เสียงกรีดร้องก้องดังเสียดฟ้า ยิ่งขับบรรยากาศแห่งความตายให้แลดูสยดสยอง
หลุมใหญ่ยักษ์ถูกขุดขึ้นหลังจากนั้น
ซากไร้ชีวิตหลายร้อยศพถูกโยนถมลงไป ตามด้วยดินทรายปิดท่วมอย่างรวดเร็ว ขบวนทหารม้าควบอาชาเหยียบย่ำวนเวียนบนปากหลุม
ท่ามกลางหิมะที่ใหญ่เท่าขนห่านพรั่งพรูลงมา พริบตาเดียวก็เกลี่ยกลบรอยโลหิตแดงสดทั่วพื้น
พร้อมกับฝังกลืนความโฉดชั่วอันน่าละอายและความอัปลักษณ์ที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมรวมกันลงไปอย่างมิดชิด
.........................................................................................................................
ลี หลินลี่...ผู้แปล