วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อยากนอนก็นอน (BL) บทนำ

บทนำ
โบราณว่า หลังความวุ่นวายต้องมีความสงบสุข หลังความสงบสุขต้องมีความวุ่นวาย

เซิ่งเจี้ยนชิงโชคไม่ดีอย่างมาก

เขาพลาดความวุ่นวายในช่วงก่อตั้งราชวงศ์เซิ่ง และที่โชคร้ายสุดขีดก็คือ ดันมาเกิดในยุคที่เฟื่องฟูและร่มเย็นที่สุดของราชวงศ์เซิ่ง

ที่โชคไม่ดีอย่างที่สุดของที่สุดคือ เขาถึงกับมาเกิดอยู่ในท้องของสนมคนโปรดของจักรพรรดิองค์ก่อน

ผลลัพธ์ไม่ต้องคิดก็รู้ราชโอรสลำดับที่สอง บวกกับเสด็จพ่อทิ้งแผ่นดินที่รุ่งเรืองและผาสุกเอาไว้ นอกจากนั้นจักรพรรดิผู้เป็นพี่ชายคนโตของเขาก็ทรงพระปรีชาสามารถ ทั้งแวดล้อมด้วยขุนนางเก่งกล้าและภักดี ด้วยเหตุนี้ การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ภยันตรายถึงชีวิตภายในราชสำนักที่ประดาราชโอรสต้องประสบ เซิ่งเจี้ยนชิงล้วนไม่มีคุณสมบัติพบเจอแม้แต่นิดเดียว

ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเลิศหรูและไร้ซึ่งความทุกข์ สำหรับคนที่เกรงว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย และชิงชังที่ตนไม่ได้เกิดในยุคสามก๊กแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าสลดใจชนิดหนึ่งจริงๆ

แต่โชคดี สวรรค์มักประทานทางออกแก่ผู้จนตรอกเสมอ

บนโลกนี้นอกจากวังหลวงและจวนอ๋องแล้ว ยังมีอีกสถานที่หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจยุทธภพ

และการแสวงหาชีวิตที่มีสีสันอันบรรเจิดในยุทธภพ วิธีที่ทั้งง่ายและเร็วก็คือ ขโมยป้ายชื่อของแต่ละค่ายพรรค
..........

หงจ่าวก็โชคไม่ดีเช่นกัน

เขาเป็นเด็กฉลาด มีความจำเป็นเลิศ

ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ เขาจำได้แม่นยำว่าตอนสามขวบ เขากระทืบแมลงสาบตายไปสองตัวอย่างกล้าหาญยิ่ง (กรุณาจำให้ดี สองตัว ไม่ใช่ตัวเดียว) 

น้าสามที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันถึงกับลูบศีรษะพลางชมเชยเขาเด็กคนนี้มือเท้าว่องไวดีจริงๆ

ป้าหกที่อยู่ด้านข้างก็เสริมว่าใช่ ไม่แน่นะ โตขึ้นอาจได้เป็นจอมยุทธใหญ่

จอมยุทธใหญ่สามคำนี้ หงจ่าวจดจำฝังใจมานานถึงสิบสี่ปีแล้ว

และสามคำนี้นั่นเอง หงจ่าวจึงเริ่มเข้าสู่เส้นทางอันยากลำบากเพื่อกลายเป็นจอมยุทธใหญ่

ไม่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ไม่มีทรัพย์ ไม่มีคนหนุนหลัง การที่จะเปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกที่ไม่เป็นวรยุทธคนหนึ่งไปเป็นจอมยุทธใหญ่ ปณิธานชนิดนี้ ก็ถือเป็นโชคร้ายเช่นกัน

จะมีเจ้าสำนักสักกี่คนรับศิษย์กระจอกๆ ที่ไม่สะดุดตาคนหนึ่ง

จะมีศิษย์ที่ไร้ซึ่งชื่อเสียงสักกี่คน สามารถกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ที่ชนทั้งหล้าเลื่อมใส

โชคดี ท่านไม่สอนข้า อย่างไรต้องมีสักคนที่สอนข้า

ในยุทธภพมีค่ายสำนักมากมาย งั้นข้าก็กราบ กราบ กราบต่อไป!

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

จอมนางจารชนหน่วย11 (ตอนเจ็ดปีไม่เจอหน้า)


ทะเลสาบสีเขียวมรกต ยามนี้ถูกหิมะปกคลุม ทิวทัศน์สองฟากฝั่งดั่งภาพเขียน ระเบียงยาวสลักลายวิจิตร แต่งแต้มด้วยเกล็ดหิมะขาวสะอาด สะพานหินโค้งทอดยาวถึงศาลาแปดเหลี่ยมหลังหนึ่งที่กลางบึง
ในศาลา ยืนอยู่ด้วยเงาร่างสองสาย บุรุษสวมเสื้อคลุมขนเตียว รูปโฉมสง่างาม คิ้วเรียวยาว นัยต์ตาพราวระยับ ใบหน้าแฝงเสน่ห์มนต์มารจางๆ ส่วนสตรีอายุไม่เกินสิบห้าสิบหก สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว ยิ่งขับความจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
สองคนนี้ ก็คือจูเก่อเยว่และฉู่เฉียว
“ข้าไม่ได้อยากช่วยเจ้า แต่บังเอิญเห็นเว่ยซูโหยวแล้วรู้สึกขัดนัยน์ตา ดังนั้นเจ้าไม่ต้องสำนึกบุญคุณ”
สตรีเงยศีรษะขึ้น สีหน้าเย็นชาเมื่อเอ่ย “ข้าก็ไม่คิดจะสำนึกบุญคุณอยู่แล้ว”
จูเก่อเยว่แย้มยิ้ม “ยังรั้นเหมือนเดิม นี่ก็เจ็ดปีแล้ว ดูท่าเยียนสวินคงไม่ได้สอนเจ้าว่าอะไรเรียกว่าความกลิ้งกลอก”
“ท่านก็เช่นกัน ดูท่าผู้วิเศษบนเขาโว่ซาน คงไม่ได้สอนท่านว่าอะไรเรียกว่าโง่เง่า ยังคงยโสโอหังไม่เปลี่ยน”
เพิ่งสิ้นเสียง จูเก่อเยว่เลิกคิ้วคราหนึ่ง ร่างพลันทะยานถอย จังหวะเดียวกัน สาวน้อยซึ่งเดิมทียืนมั่นกับที่ได้ถลันขึ้นหน้า ท่าเท้าพิสดาร ท่าร่างปราดเปรียว พุ่งฝ่ามือฉกใส่ จูเก่อเยว่ยกแขนป้องปัด สองมือตะปบข้อมือของสาวน้อย ฉู่เฉียวถอยกลับฉับพลัน หมุนตัวตวัดขาเตะ ยามนั้นตกถึงนอกศาลา สองเท้าเหยียบผิวน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง หิมะขาวทั่วพื้นปลิวคลุ้งขึ้นมา
กระบี่ในห่อผ้าสีเขียวหลุดจากฝัก ส่องประกายคมปลาบ กวัดแกว่งแหวกว่าย เริงร่ายพิสดาร ร้อยเปลี่ยนพันแปลง คลุกเคล้าเศษหิมะ พัดพลิ้วอลวน
จูเก่อเยว่สองมือว่างเปล่า เอื้อมเด็ดกิ่งเหมย ดอกขาวแซมประดับ ตวัดออกรับศึก
มองจากที่ไกล เพียงเห็นท่ามกลางหิมะพรั่งพรู เหนือทะเลสาบน้ำแข็ง หิมะทับถม พสุธาขาวใส เงาร่างสองสายโรมรันพันตู กระบวนท่าดุเดือด กลับแฝงความอ่อนพลิ้วสุดบรรยาย สายลมวูบผ่าน ม่านหิมะคละคลุ้ง ดอกเหมยสองฟากปลิดปลิว แดงขาวสลับซ้อน ฟ้อนรำขับขาน กลางม่านฟ้าสลัวราง
เสื้อคลุมจิ้งจอกขาวของฉู่เฉียวปลิวไสวล้อลม กระบี่เลื้อยรุกดุจดั่งมังกรเหิน ฝีมือไม่ย่อหย่อนไปกว่าจูเก่อเยว่
จังหวะนั้นเอง ไม่ทราบเพราะเหตุใด ฝ่าเท้าลื่นไถล กระบี่ยาวถูกกิ่งเหมยแทงใส่ ลอยลิ่วหลุดมือ ฉู่เฉียวสะท้านเฮือก มือเปล่ายันพื้นหมายลุกยืนขึ้นมา มิคาด ใต้เท้าปรากฏเสียงดังเปรียะ ชั้นน้ำแข็งปริแตก มวลน้ำเย็นจัดผุดซึมขึ้นมา สาวน้อยตะลึงวูบ เปล่งอุทานคำหนึ่ง แต่คิดพลิกตัวหลีกหนีกลับไม่ทันการแล้ว เรือนร่างโคลงวูบ ร่วงดิ่งลงไป
ว่าเร็วไม่เร็ว ว่าช้าไม่ช้า จูเก่อเยว่สีหน้าตื่นตระหนก เคลื่อนขยับเร็วรี่ คว้าแขนฉู่เฉียวแน่นหนา แล้วออกแรงสุดเหนี่ยว ดึงกลับขึ้นมา
“ท่านยังโง่เง่าไม่เปลี่ยนจริงๆ!”
ชั่ววูบประกายไฟ มีดสั้นเย็นเฉียบจ่อใส่คอหอยของจูเก่อเยว่ สาวน้อยแค่นเสียงเย็นชา “ท่านในอดีตก็ถูกข้าหลอกล่อจนหัวหมุน บัดนี้เจ็ดปีพ้นผ่าน ปฎิภาณกลับมิได้พอกพูน”
จูเก่อเยว่ยิ้มเย็น เบะปากอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าจะต้องมั่นใจในตัวเองตลอดเวลาขนาดนั้นด้วยหรือ”
มีดสั้นคมกริบกุมมั่นในอุ้งมือของจูเก่อเยว่ ปลายมีดแหลมคมจ่อที่กลางหลังของฉู่เฉียว แค่ขยับเพียงนิด ก็ทิ่มทะลุจุดตาย
สองมีดสองคม! ถึงกับไม่อาจชี้วัดต่ำสูง!
ลมหนาวกวาดผ่าน พัดเอาเกล็ดหิมะหนาวเย็นกระทบผิวหน้าของทั้งคู่ พวกเขาใกล้กันอย่างยิ่ง ลมหายใจรดประชิด ผิวหนังสนิทแนบ มองไกลๆ ยังเข้าใจว่ากอดรัดเร่าร้อน พร่ำพรอดความนัย มีเพียงเกล็ดหิมะและดอกเหมยที่อยู่ใกล้จึงสามารถรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดชนิดนั้น
“จูเก่อเยว่ ความแค้นระหว่างท่านกับข้าลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ไม่มีวันเหือดแห้งชั่วกาล วันนี้ข้าไม่ฆ่าท่าน เพียงเพราะข้าไม่อยากให้เดือดร้อนถึงเยียนสวิน ศีรษะท่านข้าขอฝากไว้บนคอท่านชั่วคราว มาตรแม้นข้ายังมีชีวิตหนึ่งวัน ท่านก็ไม่ใช่เจ้าของมันหนึ่งวัน”
“อาศัยเจ้า?” จูเก่อเยว่แค่นเสียงออกจมูก
“อาศัยข้า!” น้ำเสียงของฉู่เฉียวเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ตอกย้ำทีละคำ “ลูกหลานบ้านตระกูลจิง ต้องไม่ตายเปล่า”
“ดี!” มือหนึ่งคลายออก เบี่ยงร่างถอยห่าง เก็บกระบี่บนพื้น จูเก่อเยว่หยัดยืนสูงสง่า กล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะรอเจ้า รอวันที่เจ้ามีคุณสมบัตินั้น ค่อยมาเอากระบี่เล่มนี้คืนไป”
ลมหนาวกรูเกรียว ฉู่เฉียวยืนมั่นบนที่เดิม มองดูเงาหลังจูเก่อเยว่ค่อยๆ ลับลา ฝ่ามือที่ข้างกาย ม้วนกำแน่นขึ้นทุกที
ทุกสิ่งเมื่อครู่นี้ ก็แค่ละครฉากหนึ่ง...

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

จอมนางจารชนหน่วย11 (ตอนรัชทายาทหลี่เช่อ)


ห่าธนูถี่ยิบระลอกหนึ่งพุ่งยิงมาราวกับฝูงตั๊กแตน พร้อมศัตรูนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นบนเนินสูงไกลออกไป ในมือถือหน้าไม้ครบคน เสียงดีดผึงดังขึ้นไม่ขาดสาย องครักษ์สิบนามข้างหน้าพลันล้มร่วงจากหลังม้า อาชาศึกที่ไร้นายแผดร้องเสียงแหลม ฉู่เฉียวกระชากหลี่เช่อกลิ้งไปด้านข้าง รอดจากร่างอาชาสีขาวตัวนั้น ลูกธนูปักตรึงบนซากม้าแน่นขนัด บนหัวธนูปรากฏแสงวิบวับสีน้ำเงิน ดูก็รู้ว่าเคลือบพิษ
“ใช่มิใช่ฝีมือท่าน?”
ฉู่เฉียวตะคอกถาม หลี่เช่อแววตาแตกตื่นงุนงง ย้อนถามไปว่า “ข้าหาคนมาซุ่มโจมตีตัวเอง?”
“สมควรตาย!”
ขณะนั้น เสียงฆ่าฟันดังขึ้นรอบทิศ บนเนินสูงของทุ่งหญ้าปรากฏศัตรูจำนวนไม่ถ้วนผุดโผล่ออกมา แต่ละคนถือดาบสันหนา เสื้อผ้าชุดชาวบ้านทั่วไป กู่ก้องจู่โจมเข้ามา
“อารักขาองค์ชาย!” หัวหน้าองครักษ์ของหลี่เช่อตะโกนดังๆ ชักนำทหารคนสนิทหลายนายบุกตะลุยขึ้นหน้า
ฉู่เฉียวสองมือไวว่อง แก้มัดเชือกบนตัว กวัดแกว่งกระบี่ปัดป้องลูกธนู เห็นหลี่เชื่อยืนอยู่เบื้องหลัง ท่าทางเลิ่กลั่กมึนงง ก็เดือดดาลใหญ่ ตะคอกถามออกไป “ท่านไม่เป็นวิชายุทธ์?”
หลี่เช่อผงกศีรษะรัว “เฉียวเฉียว เจ้าต้องคุ้มครองข้า”
“ปัญญาอ่อน!” สาวน้อยโทสะลุกโชน ยกเท้าเตะใส่หัวเข่าของหลี่เช่อ บุรุษร้องโอดย่อตัวลงไป พอดีหลบรอดธนูดอกหนึ่งที่พุ่งมา
“อย่าลนลาน กองหน้าต้านศึก กองกลางยิงธนูคุ้มกัน กองหลังกวาดต้อนม้า เตรียมฝ่าวงล้อม!” ฉู่เฉียวคว้าหน้าไม้ขึ้นมา วิ่งปราดพลางตีโต้ดุดัน ลูกศรเหมือนมีดวงตางอกขึ้น แม่นยำราวจับวาง ทุกครั้งยิงออกต้องมีเสียงร้องอนาถสอดรับทันควัน
สี่ทิศแปดทางเต็มไปด้วยเสียงคำรามเข่นฆ่า ม่านธนูแหวกฟ้า เสียงตะโกนสะเทือนดิน กองกำลังของฝ่ายตรงข้ามหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย เกินกว่าหนึ่งพันขึ้นไป ส่วนองครักษ์คุ้มกันของหลี่เช่อยามนี้เพียงเหลือไม่ถึงร้อย ทั้งแต่ละคนยังพกพาบาดแผล ในช่วงฉุกละหุกหมดหนทางต้อนรับข้าศึกอย่างสิ้นเชิง
ฉู่เฉียวฉุดลากหลี่เช่อออกวิ่งโซซัดโซเซ เห็นเบื้องหน้าถัดไปเป็นป่าไม้รกชัฎ แววลิงโลดพลันผุดขึ้นในใจ ตะโกนดังๆ ว่า “ถอยเข้าป่า!”
เงาดาบคมกริบกราดฟาดถึงหน้า หลี่เช่ออุทานตระหนกคำหนึ่ง ฉู่เฉียวตวัดเท้าออก เตะใส่ท่อนล่างของศัตรู เสียงแผดปานสุกรถูกเชือดดังขึ้นบัดดล ทว่าไม่ทันรอให้ทอดเสียง ฉู่เฉียวเงื้อกระบี่ฟันฉับ ครึ่งศีรษะของมันขาดกระเด็น
เลือดแดงสดกระฉูดเปรอะหลี่เช่อทั้งตัว หลี่เช่อสะดุ้งเฮือก แต่กลับล้วงมือหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อ ขัดเช็ดรอยเลือดอย่างแรง
“ปัญญาอ่อน! จะตายอยู่แล้ว!” พลางดึงมือหลี่เช่อ ฉุดกระชากเข้าป่าไป ฝนธนูเบื้องหลังพลันถูกขวางขัดด้วยพุ่มพฤกษ์หนาทึบ มีเพียงบางส่วนที่หลุดลอดเข้ามา แต่ก็อ่อนพลังไปมากแล้ว
ฝ่ายศัตรูเห็นพวกเขาหนีเข้าดงป่า ตัดสินใจทิ้งหน้าไม้เฉียบพลัน ชูดาบรุกไล่ตามหลังไป
เพียงเห็นสี่ทิศแปดทางมีแต่ฝ่ายตรงข้าม คล้ายตั๊กแตนฝูงใหญ่ ฉู่เฉียวปัดป่ายกระบี่พลางฉุดหลี่เช่อนำหน้า เถี่ยโหยวและพวกไล่หลัง ยามนี้เหลือไม่ถึงห้าสิบคนแล้ว แต่ละคนชุ่มโชกโลหิต บาดแผลฉกรรจ์ ปราศจากเรี่ยวแรงสู้ศึก
ฉู่เฉียวเร่งใช้ความคิด กวาดสายตาเสาะหาจุดอ่อนในวงล้อมศัตรู ท่ากระบี่เผ็ดร้อน รวดเดียวสังหารหกเจ็ดคน วิชายุทธ์สองภพบวกการฝึกฝนหนักหน่วงหลายปี ยามนี้ได้สำแดงอานุภาพอย่างเกรียงไกรกลางป่า นางแม้รูปร่างแบบบาง แต่กลับเหมาะเจาะกับชัยภูมิ ยักย้ายส่ายสลับระหว่างแนวไม้ เข่นฆ่าอย่างเจนจัดปราดเปรียว ยากจะหาผู้ใดหยุดยั้ง
“เฉียวเฉียว เฉียวเฉียว!”
หลี่เช่อร้องลั่นขึ้น ฉู่เฉียวหันขวับ เห็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกำลังฟาดฟันกระบี่คุกคามถึงตัวเขา เถี่ยโหยวเลือดอาบทั่วร่าง ซวนเซเจียนทรุดอยู่รอมร่อ เห็นชัดว่าคงทานได้อีกไม่นาน
ฉู่เฉียวโดดทะยาน ตวัดเท้าเตะใส่ศีรษะชายฉกรรจ์นั้น เงื้อกระบี่ผ่าลง กระบี่โพ่เยว่คำรามแหลมเสียงหนึ่ง ร่างบุรุษฉีกขาดสะพายแล่ง แผดอนาถคำหนึ่ง ล้มตึงกับพื้น เลือดสดไหลนอง
ไหล่ซ้ายพลันแสบร้อนวูบวาบ สาวน้อยเลิกคิ้วคราหนึ่ง มือซ้ายเอื้อมมาชักมีดสั้นข้างชายโครง แล้วกระซวกใส่เบ้าตาของผู้ลอบโจมตี ข้อมือขวาสะบัดออก กระแทกหอกยาวที่จู่โจมข้างขวา ฉวยโอกาสอีกฝ่ายเซถอย กระบี่ยาวเสือกไส เหินร่างทะยานขึ้น วาดเท้าขวาเตะหน้าบุรุษ ยอดกระบี่ตามติด แทงทะลุกลางใจของมัน
“เฉียวเฉียว” หลี่เช่อตกใจหน้าเผือด ถลาเข้ามากอดฉู่เฉียวไว้ “เจ้าบาดเจ็บแล้ว!”
“ไม่ต้องสนใจข้า! เถี่ยโหยว พาเจ้านายเจ้าหนีไปทางตะวันตก”
“ไม่! ข้าทิ้งเจ้าไม่ได้”
หลี่เช่อยืนมั่นกับที่อย่างดื้อดึง ก้มเก็บกระบี่บนพื้นขึ้นมา กวัดแกว่งไปมาสองที ตวาดเสียงข่มขวัญศัตรู “พวกโจรกระจอก! เข้ามาเลย!”
เสียงดังแควก กระบี่ยาวไม่ทันแทงทำร้ายคู่ต่อสู้ ก็เกี่ยวถูกแขนเสื้อตัวเองขาด แล้วลอยหลุดมือไป
“เจ้าทึ่มเอ๊ย!” ฉู่เฉียวแค่นเสียงด่า แล้วฉุดมือเขาเมื่อตะโกนบอกพวกเถี่ยโหยวว่า “ตามข้ามา!”
กระบี่โพ่เยว่เปล่งประกายคมกริบ ตัดเหล็กกล้าปานผ่าดินโคลน ได้ยินเสียงดังตัง สะบั้นกระบี่ข้าศึกเหลือเพียงท่อนสั้น คนผู้นั้นตกตะลึง จึงถูกเถี่ยโหยวที่ตามหลังมา ฟันกระหน่ำเต็มแรง ทอดร่างเป็นซากอาบโลหิตเหนือพื้นในบัดดล
เหยียบข้ามซากศพฝ่ายอริ ฉู่เฉียวขึ้นหน้าเร็วรี่ กลุ่มคนตามหลังนางขึ้นเนินสูง เพียงเห็นด้านล่างเป็นธารน้ำเชี่ยวกราก เกลียวคลื่นเป็นวงใหญ่ ภายในคล้ายยังแฝงแผ่นน้ำแข็ง ที่แท้เป็นลำน้ำที่เพิ่งละลายสายหนึ่ง
“โดดลงไป!”
ฉู่เฉียวตวาดเสียงเจื้อยแจ้วขณะยกเท้าข้างหนึ่งถีบใส่ท้องน้อยของคนร้าย
“หา?” หลี่เช่อยืนหลังฉู่เฉียว ยืดคอมองลงไป ขมวดคิ้วรำพันว่า “เฉียวเฉียว อาจแข็งตายได้!”
“อยากตายท่านก็อยู่ตรงนี้!”
หลี่เช่อยืนอึกอักรวนเรเหนือเนินสูง หลายครั้งก็ยังตัดใจกระโดดไม่ได้ พลันเห็นบุรุษคนหนึ่งเงื้อดาบพุ่งปราดขึ้นมาจากเชิงเนิน ลอบจู่โจมด้านข้างของสาวน้อยที่กำลังต้านรับศัตรู รัชทายาทเปี้ยนถังที่เติบโตบนกองเงินกองทองไม่ทราบเสาะหาความกล้ามาจากไหน อุ้มหินยักษ์ก้อนหนึ่งขึ้นมาทุ่มใส่ศีรษะบุรุษนั้น ได้ยินเสียงดังโพละ กะโหลกแตกเลือดไหลทะลัก กลิ้งขลุกๆ ลงไปเหมือนน้ำเต้า
“ฮาฮา!” หลี่เช่อบรรลุเป้าในคราเดียว ยิ่งลำพองฮึกเหิม อุ้มหินประจัญหน้าศัตรูต่อไป
เหล่าบริวารเห็นรัชทายาทสำแดงฤทธานุภาพ พานทยอยเอาเยี่ยงอย่าง ชั่วขณะสั้นๆ ถึงกับข่มขวัญศัตรูได้อักโข
“รีบไป!” ฉู่เฉียวหมุนตัวมารั้งร่างหลี่เช่อที่กำลังสนุกกับการทุ่มหิน พากันกลิ้งลงเนิน ได้ยินเสียงตูมๆ นักรบต่างโดดน้ำตาม ความเยียบเย็นเสียดกระดูกพลันจู่โจมขึ้นมา ฉู่เฉียวและหลี่เช่อจมดิ่งลงน้ำไป
ฉู่เฉียวครองสติมั่น รีบแหวกว่ายขึ้นมา แต่ไม่ว่าออกแรงอย่างไรก็ลอยไม่ขึ้น พอก้มมองต้องเดือดดาลใหญ่ เพียงเห็นสองแขนของหลี่เช่ออุ้มหินยักษ์ก้อนหนึ่งไว้แน่น คล้ายอุ้มอัญมณีล้ำค่าก็มิปาน
ยกกำปั้นกระทุ้งกลางหลังบุรุษ ชิงเอาหินก้อนนั้นมา ทว่ายังไม่ทันลอยขึ้นเหนือน้ำ พลันได้ยินเสียงธนูหอบใหญ่กราดยิงมา เสียงร้องอนาถจากสองฟากดังไม่หยุด เห็นชัดว่าเถี่ยโหยวและพวกตกเป็นเป้าในน้ำแล้ว ฉู่เฉียวนึกในใจว่าคนโง่มีวาสนาของคนโง่ แล้วลากหลี่เช่อว่ายหนีไป
สายน้ำไหลแรงยิ่ง อึดใจใหญ่ต่อมา ทั้งสองทะลึ่งพรวด ข้าศึกสองฝั่งยังคงไล่กวดตามหลัง ทว่าห่างกันไกลลิบแล้ว...

#จอมนางจารชนหน่วย11 
ลี หลินลี่ ผู้แปล

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จอมนางจารชนหน่วย11 ตอนสำเร็จโทษชนกลุ่มน้อย

ม่านรัตติกาลหม่นดำเหนือมวลหิมะเวิ้งว้าง แว่วเสียงนกเค้าแมวครวญคร่ำ สองปีกมืดดำเวียนวนเหนือเวหา จากนภากาศมองลงมา นครเจินหวงปานประดุจมุกงามเม็ดหนึ่งท่ามกลางธารน้ำใสพิสุทธิ์ ผุดผาดบาดตา ส่องประกายพราวระยับ
และในยามนั้น นอกขอบของเม็ดมุกอันแวววาว กลับมีกลุ่มชนต่างเผ่าที่เสื้อผ้ามอมแมมหน้าตาซูบเซียวซึ่งตัดกับความเลิศหรูอลังการของนครหลวงกำลังย่างเท้าก้าวเดินอย่างยากเย็น
ลมหนาวที่เสียดกระดูกทะลุผ่านชั้นเสื้อผ้าที่บางเบาและเก่าคร่ำของชนต่างเผ่า บาดลึกผิวหนังแข็งเย็นจนม่วงคล้ำของพวกเขาราวกับคมมีด พายุพัดกระหน่ำ ราษฎรเหล่านั้นเบียดชิดกันเป็นกระจุก เพื่อต้านทานลมหนาวที่แสนหฤโหด ไม่มีการปกป้องของกำแพงตึก ฤดูหนาวของที่ราบสูงหงชวนนับวันยิ่งสุดจะทานทน
ในกลุ่มคนพลันปรากฏเสียงทารกแผดร้อง จากเสียงที่โดดเดี่ยวลำพัง ค่อยๆ แผ่ขยายกว้าง ค่อยๆ ลุกลามออกไปจนทั่วทั้งกลุ่ม
ฟึ่บ เสียงฟาดแส้ก้องดัง หัวหน้าขบวนควบม้าขึ้นหน้าด้วยสีหน้าเครียดขึ้ง  ตะคอกว่า “หุบปาก!
แต่ทว่า เด็กทารกไม่ประสาเหล่านั้นไหนเลยเชื่อฟังคำสั่งเขา เสียงร้องไห้ยังคงดำเนินต่อไป หัวหน้าขบวนมุ่นคิ้วเมื่อกระตุ้นม้าเดินฝ่าฝูงชน ก้มเอวคว้าเด็กทารกจากอ้อมแขนของหญิงสาวนางหนึ่งไป แล้วชูสูง ตามด้วยเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก!
“อา!” เสียงอุทานแสบหูดังขึ้นทันควัน มารดาของทารกกรีดร้องสนั่น เข่ากระแทกพื้นโดยแรง อุ้มเด็กน้อยที่ปราศจากสุ้มเสียงอีกต่อไปขึ้นมากอด พร้อมปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
สายตาดุดันของหัวหน้าขบวน กวาดผ่านใบหน้าผู้อพยพต่างเผ่าราวกับเหยี่ยวล่าเหยื่อ ผ่านตรงไหน ตรงนั้นพลันเงียบกริบ
บนผืนดินเวิ้งว้าง เหลือเพียงเสียงร้องไห้ของหญิงคนนั้น หัวหน้าขบวนชักดาบออกมา ฟันฉับที่กลางหลังของนาง เลือดสดกระเซ็นสาด ราดพื้นหิมะที่ขาวเผือด
ลมหายใจของฉู่เฉียวหยุดชะงักในบัดดล ริมฝีปากขบสนิท สองมือม้วนเกร็ง ตั้งท่าจะพุ่งออกไป
“เจ้าอยากตายหรือ?” เยียนสวินกอดนางไว้แน่น กระซิบที่ริมหู “พวกนั้นเป็นทหารของตระกูลเว่ย วู่วามไม่ได้”
“ที่นี่ก็แล้วกัน” หัวหน้าขบวนร้องสั่งผู้ใต้บัญชา เหล่าพลทหารเกราะเหล็กพอได้ยินก็พลิกตัวลงม้าอย่างว่องไว ก่อนชักกระบี่ทหารม้าจากข้างเอว กระตุกเชือกคราหนึ่ง ชาวบ้านที่ถูกมัดสองเท้าก็ล้มครืนกับพื้นไปตามๆ กัน
หัวหน้าขบวนเม้มปากเป็นเส้นตรง ค่อยๆ ถ่มออกมาคำหนึ่ง “ฆ่า!
ฉับ เสียงลงดาบพร้อมพรัก เหล่าพลทหารรุ่นหนุ่มสีหน้าประหนึ่งแผ่นเหล็ก ไม่แม้แต่กะพริบตา ศีรษะหลายสิบใบก็หลุดคว้าง กลิ้งไปตามพื้นหิมะหนาเตอะ โลหิตอุ่นร้อนฉีดพุ่งจากลำคอ ไหลรวมเป็นกระแสธารคาวฉุน ทว่าพริบตาก็ถูกอากาศอันหนาวเหน็บจับตัวเป็นน้ำแข็ง
เด็กหญิงขบริมฝีปากแน่น ซ่อนอยู่หลังเนินหิมะมองดูภาพสังหารหมู่ระยะประชิดฉากนี้ หัวใจบีบเกร็งรุนแรง แววตาเป็นประกาย คล้ายแสงดาวที่รุ่งโรจน์ ทว่าในนั้นกลับวิบวับด้วยแววเครียดเคร่งชนิดหนึ่ง
มือของเยียนสวินเย็นเฉียบเล็กน้อย แม้ยังคงกุมมือนางไว้ไม่ปล่อย แต่กลับมีความรู้สึกชนิดหนึ่งไหลวนอยู่ในกระแสโลหิต ทำให้เขาไม่กล้าหันไปสบตาตรงๆ กับเด็กหญิง ร่างกายเล็กๆ ในอ้อมแขนแผ่ซ่านไอร้อนกรุ่น แทบจะลวกมือเขาจนสุก
เขามองดูพวกชนชั้นปกครองแห่งราชอาณาจักรเงื้อง่าเหนือศีรษะราษฎรเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงรู้สึกว่าสิ่งที่คนพวกนี้ตัดทิ้งหาใช่ศีรษะมนุษย์ แต่เป็นความศรัทธาของตัวเอง ทิฐิซึ่งเกาะกุมจิตใจมานานปี ถูกทำให้หลุดร่อนออกไปทีละชั้น เหลือแต่บาดแผลทั่วร่าง ไม่มีที่เก็บซ่อนความละอาย
ภายใต้การกวัดแกว่งกระบี่ทหารม้า โลหิตกระฉูดสี่ทิศ ใบหน้าของราษฎรต่างเผ่าล้วนสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวั่นเกรงต่อความตายที่กำลังเผชิญอยู่แม้แต่น้อย ฉู่เฉียวมองเห็นอย่างชัดแจ้ง นั่นไม่ใช่ความด้านชาที่เกิดจากความพรั่นพรึงถึงขีดสุด ไม่ใช่ความสิ้นหวังที่ไร้ซึ่งความหวังทั้งปวง ยิ่งไม่ใช่หมดอาลัยตายอยากทั้งที่รู้แก่ใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ แต่เป็นความเข้มแข็งที่เด็ดเดี่ยว เป็นความเคียดแค้นถึงกระดูก คนทั้งหมดล้วนเงียบงัน ไม่มีการร้องห่มร้องไห้ ไม่มีการสาปแช่ง แม้แต่เด็กน้อยในอ้อมแขนของคนแก่ก็ยังเชื่องเชื่อ พวกเขาเบิกตาทั้งสอง มองดูเพื่อนร่วมเผ่าตกตายไปทีละคนภายใต้คมดาบของเพชรฆาต ด้วยแววตาจัดจ้า ทว่าโหมกระพือด้วยระลอกคลื่นขุมมหึมา
นั่นเป็นความคับแค้นที่เทพเทวาบนสรวงสวรรค์ยังต้องสะท้าน เป็นความอาฆาตที่พญามารยังต้องสยบ!
ความโกรธขึ้งและขุ่นแค้นที่ถูกเก็บกดในใจส่วนลึกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา กำปั้นของเด็กหญิงม้วนแน่น เหมือนลูกหมาป่ากระหายโลหิต
จังหวะนั้นเอง ปรากฏเสียงเกือกม้าที่เร่งร้อนแว่วมา พร้อมกับเสียงตวาดเดือดดาลของชายหนุ่ม “หยุดมือ! หยุดมือเดี๋ยวนี้!
ม้าศึกสีขาวควบมาถึงเร็วรี่ คุณชายอ่อนวัยพลิกตัวกระโดดลง ตวัดแส้ฟาดใส่ข้อมือของไพร่พลถืออาวุธ หยัดยืนบดบังเบื้องหน้าผู้อพยพ ก่อนบันดาลโทสะเดือดพล่านใส่หัวหน้าขบวนผู้นั้น “เจียงเฮ่อ ท่านทำอะไร”
“ขุนพลน้อยซูเย่ ข้าได้รับคำสั่งทหาร กำลังสำเร็จโทษพวกกบฏ” หัวหน้าขบวนพอเห็นคุณชาย หัวคิ้วขมวดเบาๆ แต่ยังคงลงจากหลังม้าโค้งคำนับอย่างนบนอบ พลางกล่าวเสียงขรึม
“กบฏ?” เว่ยซูเย่ขมวดคิ้วเป็นปม ชี้มือไปทางคนแก่และสตรีอ่อนแอเต็มพื้นด้วยแววตาขุ่นเคือง น้ำเสียงดุดันเฉียบขาด “ใครเป็นกบฏ พวกนี้หรือ? ผู้ใดให้อำนาจท่าน ผู้ใดอนุญาตให้ท่านทำเช่นนี้”
เจียงเฮ่อสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เหมือนก้อนหินที่ดึงดัน “ขุนพลน้อย เป็นราชโองการของวังเซิ่งจิน เป็นอาของท่านยื่นฎีกาด้วยตัวเอง สภามนตรีสูงสุดร่วมกันลงมติ พี่ชายของท่านเป็นคนลงนามอนุมัติ ผู้อาวุโสตระกูลเว่ยทั้งหมดร่วมกันตัดสินใจ บริวารแค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น”
เว่ยซูเย่ตกตะลึงตาค้าง เขาหันศีรษะอย่างเหม่อลอย กวาดมองใบหน้าผู้อพยพทีละคน ราษฎรต่างเผ่าที่เผชิญหน้ากับความตายโดยไม่แม้แต่ขมวดคิ้วเหล่านี้ ทว่าพริบตาที่เห็นเขา สีหน้ากลับแปรเปลี่ยน หมดปัญญาอำพรางเพลิงแค้นในดวงตาไว้ได้อีกต่อไป ยายเฒ่าคนหนึ่งลุกพรวด สบถด่าออกมาโดยไม่สนใจทหารที่ขนาบสองฟาก “เจ้าคนสับปลับ! คนทรยศไร้ยางอาย! สวรรค์จะลงทัณฑ์เจ้า!
ง้าวเล่มหนึ่งฟันฉับใส่บั้นเอว เลือดสดไหลรินลงมาตามคมดาบ ลำตัวของหญิงชราแทบขาดเป็นสองท่อน ร่างอ่อนระทวยลงพื้น แต่นางเก็บแรงเฮือกสุดท้ายถ่มโลหิตข้นคลั่กใส่ชายเสื้อขาวสะอาดของเว่ยซูเย่คำหนึ่ง ก่อนเปล่งเสียงหัวเราะสาปแช่ง “เป็นผี... เป็นผีก็ไม่... ไม่ละ... ละเว้นเจ้า”
เว่ยซูเย่หน้าดำหมอง ของเหลวน่าขยะแขยงคำนั้นยังติดอยู่ที่ปลายชุดยาวของเขา แต่เขากลับไม่ไปปัดเช็ด เขาเพียงเม้มปากแน่น มองดูซากศพระเกะระกะเต็มพื้นและดวงตาที่ฉายแววเจ็บแค้นนับไม่ถ้วนเหล่านั้น
“ขุนพลน้อย” เจียงเฮ่อถอนใจคำหนึ่ง เดินมาหาพลางกล่าว “ราชอาณาจักรไม่มีเงินเหลือเฟือเลี้ยงดูคนเหล่านี้ สภามนตรีสูงสุดก็คงไม่ออกทุนจัดสร้างที่อยู่อาศัยให้พวกเขา ท่านเป็นลูกหลานตระกูลเว่ย ควรเคารพการตัดสินใจของผู้ใหญ่ในตระกูล ปกป้องผลประโยชน์ของตระกูล”
ความร้อนระอุปานหินละลายใต้ภูเขาไฟขุมหนึ่งแล่นสู่โพรงอกของเว่ยซูเย่ ดวงตาของเขาแดงก่ำ เงียบงันไร้วาจา เจียงเฮ่อขมวดคิ้ว หันไปโบกมือสั่งทหารพร้อมกับผงกศีรษะนิดๆ เหล่าพลทหารพอรับคำสั่งก็เงื้อดาบเตรียมเข่นฆ่าต่อไป
“คนชั่ว!” สุ้มเสียงกังวานใสพลันดังขึ้น เพียงเห็นท้ายสุดของฝูงชน ใบหน้าเล็กๆ โผล่ขึ้นจากอ้อมแขนของมารดาตัวเอง ดวงตาปราศจากหยาดน้ำ ทว่าแดงก่ำ ตะโกนเสียงก้อง “คนหลอกลวง ไหนบอกว่าจะพาพวกเรามาเมืองหลวง อยู่ในบ้านที่กันลมกันฝน ไหนบอกว่าจะให้ทุกคนกินอิ่ม มีเสื้อผ้าอบอุ่น ไหนบอกว่า...”
ธนูคมกริบพุ่งขวับออกไป ทักษะเกาทัณฑ์ของแม่ทัพเจียงเฮ่อแม่นยำอย่างยิ่ง แค่กลอกตาก็สามารถยุติถ้อยคำที่กำลังจะหลุดปากของเด็กน้อย หัวธนูทะลุผ่านคอหอย เลือดแดงสดทะลักไหลจากท้ายทอย!
“ลงมือ!” เจียงเฮ่อชักดาบเมื่อตวาดเสียงก้อง
“หยุดมือ!
ขุนพลน้อยหัวใจสลายไปกับวาจาแต่ละคำของเด็กน้อย เขาถลาขึ้นหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผลักทหารสองนายออกไป
“จับขุนพลน้อยไว้!” เจียงเฮ่อตวาดสั่ง พลทหารหลายนายรีบปราดขึ้นมา ใช้วิธีกอดรัดตะลุมบอน จับตัวเว่ยซูเย่ไว้อย่างแน่นหนา
การสังหารหมู่ที่ปราศจากมนุษยธรรมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เลือดสดเจิ่งนอง โคลนและโลหิตไหลปะปน เสียงกรีดร้องก้องดังเสียดฟ้า ยิ่งขับบรรยากาศแห่งความตายให้แลดูสยดสยอง

หลุมใหญ่ยักษ์ถูกขุดขึ้นหลังจากนั้น ซากไร้ชีวิตหลายร้อยศพถูกโยนถมลงไป ตามด้วยดินทรายปิดท่วมอย่างรวดเร็ว ขบวนทหารม้าควบอาชาเหยียบย่ำวนเวียนบนปากหลุม ท่ามกลางหิมะที่ใหญ่เท่าขนห่านพรั่งพรูลงมา พริบตาเดียวก็เกลี่ยกลบรอยโลหิตแดงสดทั่วพื้น พร้อมกับฝังกลืนความโฉดชั่วอันน่าละอายและความอัปลักษณ์ที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมรวมกันลงไปอย่างมิดชิด
.........................................................................................................................
ลี หลินลี่...ผู้แปล

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จอมนางจารชนหน่วย11 ตอน8ขวบหลอก13ขวบ




ภายในห้อง ความเงียบทอดยาว ลมแผ่วๆ โชยเข้ามาจากนอกหน้าต่าง กล้วยไม้โม่หลันบนซุ้มดอกไม้ที่เพิ่งส่งมาไม่นานส่งกลิ่นหอมชื่นจางๆ
เด็กหญิงยืนนิ่งงันอยู่ด้านล่าง ทว่าเวลายาวนานเกินไป นานจนนางเกือบคิดว่าคนข้างบนหลับไปแล้ว ทนไม่ไหวจึงเงยหน้าชำเลืองแวบหนึ่ง กลับประสานกับดวงตาดำจัดดุจน้ำหมึกในบึงลึกที่มองลงมาพอดี
เมื่อไม่อาจแสร้งเป็นไม่เห็น ฉู่เฉียวจึงเลียปากนิดหนึ่ง แล้วร้องเรียกเบาๆ “นายน้อยสี่”
“แต่งเรื่องมาหลอกข้าเสร็จแล้ว?”
จิ้งจอกน้อยจริงๆ ด้วย ฉู่เฉียวหนาววูบในใจ แต่ต่อหน้ากลับคุกเข่าลงอย่างหวั่นหวาด รีบกล่าวว่า “ซิงเอ๋อร์มิบังอาจโกหกเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ?” จูเก่อเยว่ก้มหน้าหัวเราะแผ่ว แล้วกล่าว “ไหนลองว่ามา”
“ขึ้นสี่ค่ำเดือนก่อน ซิงเอ๋อร์กับเด็กทาสกลุ่มหนึ่ง โดนนายน้อยใหญ่นำตัวไปที่คอกล่าสัตว์ สุดท้าย... สุดท้ายมีแค่ซิงเอ๋อร์ที่รอดกลับมา หลังจากนั้นซิงเอ๋อร์ก็กลัวมาก อาศัยช่วงพักรักษาตัว เก็บข้าวของเตรียมหนี”
“หนี?” จูเก่อเยว่เลิกคิ้วนิดหนึ่ง “เจ้าจะหนีไปไหน”
เด็กหญิงตอบเสียงอ่อย “ข้าก็ไม่ทราบ แค่ไม่อยากรอความตายอยู่ในนี้ นายน้อยอาจคิดว่าซิงเอ๋อร์เนรคุณ แต่หนึ่งคนมีแค่ชีวิตเดียว ชีวิตของซิงเอ๋อร์อาจไม่มีค่าสักนิดในสายตาคนอื่น แต่ในสายตาของซิงเอ๋อร์กลับล้ำค่ายิ่งนัก ตอนที่ซิงเอ๋อร์เตรียมหนีออกไป พวกผู้คุ้มกันพบเห็นเข้า จึงถูกเฆี่ยนตียกใหญ่ วันนี้เขาเห็นข้า กลัวว่าข้าจะล้างแค้น ดังนั้นอยากลงมือก่อน”
“งั้นหรือ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มันช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าจริงๆ” จูเก่อเยว่ดื่มชาคำหนึ่ง ค่อยกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าความจำไม่เลวนี่”
ฉู่เฉียวถึงกับสะอึก เพียงเห็นแววตาจูเก่อเยว่สาดประกายคมกล้า เหมือนอสรพิษร้ายตัวหนึ่ง จึงก้มหน้ากล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นาน ดังนั้นซิงเอ๋อร์จำได้ดี”
จูเก่อเยว่พยักหน้า ก่อนกล่าว “เช่นนั้น เรื่องที่จิ่นซือจิ่นจู๋ยุยงให้ข้าฆ่าหลินซี เรื่องที่จูซุ่นเอาคนในครอบครัวเจ้าส่งให้คนอื่น เรื่องที่มีคนเข่นฆ่าพี่สาวน้องสาวของเจ้า เจ้าจำได้หรือไม่?”
ฉู่เฉียวใจกระตุกวูบ แต่มิได้เงยหน้าขึ้น เพียงโขกศีรษะกับพื้น สะอื้นไห้ออกมาเมื่อกล่าว “นายน้อย ซิงเอ๋อร์ล้วนจำได้ทั้งสิ้น แต่ซิงเอ๋อร์ตระหนักในฐานะและหน้าที่ของตัวเองดี ยิ่งตระหนักในความสามารถอันน้อยนิดของตัวเอง”
“เจ้าหมายความว่า วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อปีกกล้าขาแข็ง ก็จะแก้แค้น ถูกไหม?”
เด็กหญิงเงยหน้าฉับพลัน แหงนมองด้วยแววตาพรั่นพรึง “นายน้อยสี่!
“ไม่ต้องปฏิเสธ แวบแรกที่ข้าเห็นเจ้า ก็รู้ว่าเจ้าไม่ใช่เด็กน้อยที่ความคิดตื้นเขินคนหนึ่งแน่นอน ในแววตาของเจ้าซุกซ่อนอะไรไว้มากมาย ข้ามองเห็น”
เด็กน้อยน้ำตาคลอคลอง เม้มปากก่อนกล่าว “นายน้อยคิดว่าซิงเอ๋อร์จะทำอะไร คิดว่าซิงเอ๋อร์จะไปฆ่าคน? หรือคิดว่าพี่จิ่นจู๋จิ่นซือล้วนเป็นซิงเอ๋อร์ให้ร้ายจนตาย? ซิงเอ๋อร์อายุยังน้อย ต่อให้เคียดแค้นในใจบ้าง แต่ก็ทราบดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ตระกูลจิงบ้านแตกสาแหรกขาด บ้างตายบ้างพลัดพรากในชั่วคืน ซิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนจากคุณหนูสูงศักดิ์กลายเป็นข้าทาสชั้นต่ำ หากกล่าวว่าโกรธแค้น ซิงเอ๋อร์ไยมิใช่สมควรโกรธแค้นจักรพรรดิในวังเซิ่งจิน ไยมิใช่สมควรโกรธแค้นคณะมนตรีที่ออกคำสั่งลงมา ไยมิใช่สมควรโกรธแค้นกองทัพหวงเทียนที่ตรวจยึดบ้านของซิงเอ๋อร์? นายน้อย ซิงเอ๋อร์ไม่มีความเก่งกล้าปานนั้น เพียงอยากมีชีวิตสืบไป สิ่งเหล่านั้นหนักหน่วงเกินกำลัง ซิงเอ๋อร์แบกรับไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงโขกหน้าผากกับพื้น แผ่นหลังเล็กบางตรงแน่ว ทว่าสองไหล่เล็กๆ นั้นกลับสั่นสะท้านไม่หยุด คล้ายหวาดกลัวสุดขีด อยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าร้องออกมา
สายตาของจูเก่อเยว่พินิจวนเวียนอยู่บนร่างของเด็กหญิง แววคมกล้าฉายชัดในดวงตา สุดท้ายค่อยอ่อนแสงลงท่ามกลางเสียงสะอื้นสุดระทมขมขื่นของนาง
จูเก่อเยว่วางถ้วยชา เอนหลังพิงพนัก กล่าวเนิบๆ ว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
เด็กหญิงเม้มปากแน่น ตาแดงก่ำเบิกโพลง หยาดน้ำอาบคลอ
จูเก่อเยว่มองเด็กหญิงตรงหน้าแวบหนึ่ง เห็นนางตัวเล็กจ้อย ดวงหน้าชมพูใส มือน้อยกำแน่น อยากหลั่งน้ำตาแต่ก็อดกลั้นไว้สุดฤทธิ์ ท่าทางน่าเวทนายิ่งนัก จึงอดถอนใจเบาๆ มิได้ ในใจคิดว่า ข้าคงเจอเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นมากเกิน ถึงได้ตื่นตูมไปเอง ระแวงกระทั่งเด็กน้อยตัวแค่นี้
“เอาล่ะ ถือว่าข้าทำร้ายจิตใจเจ้า อยากร้องก็ร้องเถอะ”
นี่ถือเป็นการขอโทษกลายๆ กระมัง ด้วยนิสัยของจูเก่อเยว่ หรือเคยเกรงใจคนอื่นเช่นนี้มาก่อน แต่เด็กหญิงกลับยืนอยู่ที่เดิมอย่างดื้อดึง ปากเม้มสนิท สองตาเบิกกว้าง อย่างไรก็ไม่ยอมหลั่งน้ำตาสักหยด
จูเก่อเยว่พานหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ โบกมือแล้วกล่าว “ออกไปเถอะ อย่ามายืนเกะกะลูกตา”
ฉู่เฉียวหมุนตัวกระฟัดกระเฟียด ไม่พูดอะไรสักคำก็ตั้งท่าออกไป
“หยุดตรงนั้น!
จูเก่อเยว่ตวัดเสียงเย็นจัด ฉู่เฉียวหยุดยืนนิ่งตามสั่ง เพียงแต่ไม่หันหน้ากลับมา
จูเก่อเยว่หยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ใบหนึ่งจากลิ้นชักข้างตัว เดินลงมาช้าๆ ยื่นมือจับไหล่ของฉู่เฉียว หมายหมุนร่างนางกลับมา แต่นิ้วมือกลับรู้สึกได้ถึงแรงทิฐิที่ดึงดัน จูเก่อเยว่เลิกคิ้วมอง เห็นเด็กหญิงเกร็งตัวขืนแรงเต็มที่ อย่างไรก็ไม่ยอมหัน
จูเก่อเยว่จะอย่างไรก็แก่กว่านางหลายปี สองมือกดประทับบนไหล่นาง ออกแรงเล็กน้อย บังคับให้เด็กหญิงหมุนตัวกลับมา
ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและแววน้อยเนื้อต่ำใจปรากฏขึ้นในคลองจักษุของจูเก่อเยว่ ฉู่เฉียวนัยน์ตาแดงก่ำ พอเห็นเขา น้ำตาก็พรั่งพรูอย่างห้ามไม่อยู่
“เอาล่ะ ไม่ต้องร้อง ก็แค่ว่ากล่าวไม่กี่คำ” หนุ่มน้อยขมวดคิ้ว “เจ้าทำผิดเอง หรือยังไม่ยอมให้ผู้อื่นตำหนิ?”
“ข้าทำผิดที่ไหน เป็นนายน้อยให้ข้าไปเรียนขี่ม้าชัดๆ ข้าก็เรียนของข้าดีๆ มิได้หาเรื่องใครสักหน่อย” เด็กหญิงแปดขวบบันดาลโทสะออกมา เถียงเจ้านายตัวเองเสียงแข็ง ตัดพ้อพลางสะอื้นไห้ น้ำมูกน้ำตาไหลย้อยเข้าปาก
จูเก่อเยว่ย่นคิ้วนิดหนึ่ง ล้วงผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อเช็ดน้ำตาบนแก้มให้เด็กหญิง มือไม้เก้งก้างอย่างยิ่ง พลางกล่าวว่า “ยังจะเถียงอีก เจ้าทำม้าของข้าหาย วันนี้ยังทำให้ม้าชั้นหนึ่งจากทะเลทรายตายไปอีกตัว ยังบอกว่าตัวเองไม่ผิด”
“ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ใช่ผู้อื่นอยากขี่ม้า อีกอย่างเยียนซื่อจื่อ เยียนซื่อจื่อก็เอาม้าที่หายไปกลับมาส่งแล้ว ข้าได้... ข้าได้ยิน” เด็กหญิงแย้งไม่เลิก น้ำตาก็หยดเป็นทาง ไม่ช้าผ้าเช็ดหน้าของจูเก่อเยว่ก็เปียกชุ่ม จูเก่อเยว่จะหยิบผืนใหม่มา พลันพบว่าเด็กหญิงจับมือเขา แล้วสั่งน้ำมูกบนผ้า
จูเก่อเยว่ถึงกับผงะ ปากอ้าตาค้างมองดูผ้าเช็ดหน้าที่เลอะเป็นหย่อมๆ เหนียวๆ ผืนนั้น ได้ยินเด็กหญิงพูดต่อ “แล้วม้าที่ตายวันนี้ ก็เป็นนายน้อยฆ่ามันเอง”
“ฮึ หาข้ออ้างเก่งนัก”
เด็กหญิงก้มหน้า พึมพำอย่างขัดใจ “ผู้อื่นพูดความจริงนี่นา”
แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ตกกระทบเหนือบ่าของทั้งสอง เด็กหญิงตัวเล็ก ต่อให้ยืนตรงก็แค่เสมอไหล่ของหนุ่มน้อย ดวงหน้าแดงสดใส ราวกับผลผิงกั่ว1สองใบ
“ให้เจ้า” จูเก่อเยว่ยัดขวดกระเบื้องใส่มือนาง “เอากลับไปทา”
นิสัยเด็กน้อยชัดๆ ความสนใจพลันหันเหทันที จูเก่อเยว่ยิ้มบางๆ มองเด็กหญิงชูขวดขึ้นมาถามด้วยความสงสัย “นี่คืออะไร”
“ยาสมานแผล”
เพราะม้าน้อยวิ่งเร็ว อุ้งมือของฉู่เฉียวถูกเสียดสีจนถลอก เด็กหญิงมุ่ยปาก พยักหน้าเมื่อกล่าว “นายน้อยสี่ เช่นนั้นซิงเอ๋อร์ขอตัวก่อน”
หนุ่มน้อยนั่งกลับไปบนเก้าอี้ ไม่แม้แต่เงยหน้า ทำท่าเหมือนไม่อยากเห็นนาง เพียงโบกมือกล่าวว่า “ไปเถอะ”
ขณะฉู่เฉียวจะเปิดประตูออกไป จูเก่อเยว่พลันร้องเรียก “ซิงเอ๋อร์ ถ้าพบเยียนซื่อจื่ออีก พยายามอยู่ห่างเขาให้มากที่สุด”
ฉู่เฉียวเอียงคอ มองเขาอย่างงุนงง จูเก่อเยว่ย่นคิ้วอย่างหงุดหงิด คำรามว่า “ฟังไม่เข้าใจ?”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เด็กหญิงตะโกนรับคำ จากนั้นหมุนตัวออกไป เรือนร่างเล็กจ้อยก้าวข้ามธรณีประตูที่สูงหนา หวุดหวิดสะดุดล้ม
เด็กคนนี้นับวันยิ่งขวัญกล้า หนุ่มน้อยหน้าเครียดขึ้ง ลอบหายใจฮึดฮัด


1 แอปเปิ้ล
#จอมนางจารชนหน่วย11 《11处特工皇妃》
ลี หลินลี่...แปลไทย

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จอมนางจารชนหน่วย11 (ตอนแค้นหฤโหด) 《11处特工皇妃》

ขณะเดียวกับที่จูเก่อเยว่ เยียนสวินและเว่ยซูเย่ เร่งม้าทะยานสู่คฤหาสน์ของจูเก่อสี ภายในหอฉูเหนียงที่เสียงดนตรีไม่เคยขาดสาย กลับตกอยู่ในห้วงมรณะที่วังเวงจับใจ

เลือดสดค่อยๆ รินหลั่งลงมาตามมีดสั้นที่คมกริบ หยดบนพรมขนอูฐขาวจากแดนซีอวี้ ซึมซ่านอย่างรวดเร็ว กลายเป็นภาพโลหิตดวงหนึ่ง ลมราตรีพัดเข้ามาทางหน้าต่าง สลายความหอมกรุ่นที่ฟุ่มเฟือยในห้อง

โคมไฟในหอฉูเหนียงสว่างจ้า จูเก่อสีที่ใบหน้าแตกตื่นลนลานบีบลำคอตัวเองแน่น จ้องมองเด็กหญิงที่สูงไม่ถึงไหล่ตนด้วยแววตาเหลือเชื่อ เม็ดทรายในโหลนาฬิกาไหลลงเชื่องช้า ในที่สุด... ชายชราก็คุกเข่ากระแทกพื้นดังพลั่ก

“ท่านกำลังขอร้องให้ข้าละเว้นท่าน?” เสียงของฉู่เฉียวเบาหวิว นางก้มหน้านิดหนึ่ง หางตาปรายมองบนใบหน้าชายชรา กระเพาะอาหารปั่นป่วนคลื่นเหียนจนอยากขย้อนออก ในค่ำคืนนั้น ซากร่างอุจาดตาของจือเซียงและคนอื่นๆ ประหนึ่งมีดดาบ เสียบแทงจิตวิญญาณของนาง นางโน้มหน้าเข้าไปช้าๆ ถามว่า “เคยมีคนมากมายวิงวอนให้ท่านละเว้นชีวิต ท่านไฉนไม่ละเว้น”

จูเก่อสีฟุบหมอบแทบพื้น เลือดที่ลำคอฉีดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ นายท่านผู้เฒ่าตระกูลสูงศักดิ์ที่กินดีอยู่ดีแต่รักตัวกลัวตาย ยามนี้หวั่นหวาดจนตัวสั่นงันงก คืบคลานไปข้างหน้าไม่หยุดด้วยมือที่โชกเลือด หมายหลีกห่างจากเด็กหญิงปีศาจคนนี้ เลือดแดงสดลากยาวเป็นทาง ช่างทิ่มแทงนัยต์ตาปานนั้น ช่างน่าสะพรึงปานนั้น

“ท่านอยู่มานานเกินพอแล้ว สมควรถึงเวลาชดใช้ สวรรค์ไม่เก็บท่าน ข้าจะเก็บเอง” เสียงดังควับ คมมีดตวัดผ่านกระดูก ขาดสะบั้นเป็นแนวเสมอกัน น้ำพุโลหิตทะลักพรวด สาดเป็นสีม่วงคล้ำที่อับเหม็นเต็มพื้น

ฉู่เฉียวหิ้วศีรษะที่ตายตาไม่หลับของจูเก่อสีขึ้นมา เขวี้ยงลงพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเดินไปทางดรุณีสิบคนที่กอดกันกลมอยู่มุมห้อง

พวกเด็กน้อยมองนางด้วยแววตาหวาดผวา ยิ่งเบียดชิดกันมากกว่าเดิม ในสายตาของพวกนาง เด็กหญิงที่จู่ๆ ก็สลัดหลุดจากเชือกและฆ่านายท่านผู้เฒ่าจูเก่ออย่างอาจหาญผู้นี้เป็นคนบ้าชัดๆ น่าสยดสยองไม่ต่างจากปีศาจร้ายในขุมนรก แต่กลับไม่สังหรณ์สักนิดว่า หากไม่มีเด็กหญิงคนนี้ จะมีพวกนางสักกี่คนที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยถึงเวลานี้

ฉุดดึงเด็กหญิงหน้าตาสะสวยอายุสิบขวบเศษคนหนึ่งออกมา เพียงเห็นเด็กคนนั้นตระหนกจนหน้าขาวเผือด ริมฝีปากสั่นระริก ฉู่เฉียวจ้องหน้านางเมื่อถามชืดๆ ว่า” กลัวไหม?”

เด็กน้อยตาเบิกค้าง ผงกศีรษะระรัว ผวาว่าตัวเองจะกลายเป็นศพที่สอง น้ำตาน้ำมูกไหลย้อยเป็นทาง กลับมิกล้าเปล่งเสียง

“ในเมื่อกลัว ก็แหกปากร้องออกมา”

จะอย่างไรก็เป็นเด็กในครอบครัวยากจน แม้อายุน้อย แต่พอรู้ความ เด็กคนนั้นส่ายหน้าสะอื้น “ข้าไม่ร้อง ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าขอร้อง”

ฉู่เฉียวย่นคิ้วอย่างหงุดหงิด “ข้าพูดไม่ชัดเจนหรือไร ร้องออกมา”

“ข้าขอร้อง” เด็กน้อยคร่ำครวญไม่ได้ศัพท์ “ปล่อยข้าไปเถอะ ให้ข้าเป็นวัวเป็นม้า... อ๊า!”

เด็กหญิงแปดขวบพลันชูมีดสั้นขึ้นมา พาดไปที่ก้านคอของเด็กคนนั้น จากเดิมที่วิงวอนขอชีวิต เปลี่ยนเป็นแหกปากร้องออกมาสุดเสียง ได้ยินเสียงดังฉึก มีดสั้นที่แหลมคมเฉียดลำคอของนางไป ปักแน่นบนเสาเตียงข้างหลังนาง เด็กน้อยกลับไม่เป็นอันตรายแม้เส้นผม

“เรื่องอะไร เหล่าเย(คำเรียกนายท่านผู้เฒ่า) เกิดอะไรขึ้น... อ๊า!ฆ่าคนตาย!” บ่าวคนสนิทที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยินเสียง จึงชะโงกหน้าเข้ามาอย่างระมัดระวัง แต่ไม่ทันสิ้นเสียงก็เห็นร่างอาบเลือดของจูเก่อสีนอนเหยียดยาวบนพื้น ถึงกับแตกตื่นขวัญกระเจิง อุทานตกใจคำหนึ่ง ทรุดนั่งกระแทกพื้น แล้วคลานเข่าลุกขึ้น วิ่งโซเซออกจากห้องไป

ฉู่เฉียวเดาะมีดสั้นในมือ คำนวณเวลาในใจ คะเนว่าผู้คุ้มกันทั้งเรือนล้วนได้ยินกันทั่ว มีดบินพลันพุ่งจากมือในพริบตา ทะลวงหลังศีรษะของบ่าวคนนั้น ทะลุออกหน้าผาก!

เสียงฝีเท้าชุลมุนดังขึ้นในบัดดล เด็กหญิงรีบกลับไปนั่งรวมกับดรุณีทาสกลุ่มนั้น เพียงเห็นชายฉกรรจ์ยี่สิบกว่าคนทยอยพรวดพราดเข้ามา พอเห็นตัวกับหัวของจูเก่อสีอยู่คนละทิศ พลันหน้าคล้ำเป็นโคลน

“เกิดอะไรขึ้น” หัวหน้าผู้คุ้มกันตวาดเสียงกร้าวใส่เหล่าดรุณีทาส

“ฆ่าคนตาย!” เด็กหญิงแปดขวบชิงตะโกนตัดหน้าคนอื่น น้ำตาพรั่งพรูลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ สะอื้นไห้เสียงสั่น “ฆ่าคนแล้ว ฮือ... ฆ่านายท่านผู้เฒ่า ยังฆ่า... น่ากลัวเหลือเกิน ฮือ...”

เด็กน้อยคร่ำครวญน้ำมูกน้ำตาไหล ดวงหน้าน้อยๆ ตกใจจนเผือดสี พูดจาตะกุกตะกัก คล้ายโคนลิ้นยังสั่นไม่หยุด

หัวหน้าผู้คุ้มกันตะคอกถาม “หนีไปทางไหนแล้ว”

“นั่น!” ฉู่เฉียวชี้หน้าต่างที่แง้มนิดๆ ทางทิศใต้ “หนีไปทางนั้นแล้ว!”

“อยู่ทางนี้สองสามคน ที่เหลือตามข้ามา!”

เหล่าผู้คุ้มกันโหมฮือออกจากห้อง เพียงเหลือไว้สามคนเฝ้าศพนายท่านผู้เฒ่า

เด็กคนอื่นๆ ล้วนตื่นตะลึงจ้องหน้าฉู่เฉียว เพียงเห็นเด็กหญิงที่เพิ่งโกหกพวกผู้คุ้มกันเหล่านั้น ถือหน้าไม้อยู่ในมือ ใบหน้าปราศจากเค้ารอยตื่นกลัว นางยิ้มมองบ่าวที่กำลังสำรวจตรวจศพของจูเก่อสี ก่อนผิวปากคราหนึ่งด้วยท่าทีปลอดโปร่ง “นี่! อย่าเสียเวลาเลย”

สามคนหันขวับมา พลันแตกตื่นตาโต เสียงไม่ทันหลุดจากปาก ธนูสามดอกก็พุ่งยิงมา ปักใส่กะโหลกที่ตกตะลึงทั้งสามใบราวกับดาวตก หยดเลือดไหลพราก สามซากล้มตึงกับพื้นพร้อมเพรียง ติดตามนายท่านผู้เฒ่าจูเก่อของพวกเขาไปพบยมบาลด้วยความจงรักภักดี

“อา!” ดรุณีทาสคนหนึ่งอุทานขึ้นมา ฉู่เฉียวรีบยกมือปิดปากนาง “ทีบอกให้ร้องไม่ร้อง ทีนี้กลับจะสาระแน”

เด็กน้อยทั้งหมดล้วนหน้าดำมืดเป็นสีโคลน พากันร้องไห้กระจองอแง ฉู่เฉียวถอนใจยืดยาว กล่าวเนิบๆ ว่า “คำพูดของข้าต่อจากนี้สำคัญมาก พวกเจ้าต้องตั้งใจฟังให้ดี จึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ เข้าใจไหม?”

ฝูงเด็กเงียบเสียงในบัดดล เบิกตากว้างมองมาที่นาง

“ข้าน่ะ เป็นคนของพ่อบ้านจูซุ่น เฒ่าหัวงูสันดานโฉดชั่วคนนี้ชอบทำร้ายเด็ก พ่อบ้านจูซุ่นเห็นแล้วรู้สึกขัดลูกตา จึงให้ข้ามาฆ่าเขา นี่เรียกว่าขจัดภัยเพื่อมวลชน พวกเจ้าใครก็ห้ามเอ่ยถึงพ่อบ้านจูซุ่น ไม่ว่าคนของคฤหาสน์จูเก่อจะลงโทษด้วยอะไร ก็ห้ามพูดเด็ดขาด แล้วพ่อบ้านจูจะมาช่วยพวกเจ้าเอง จำไว้แล้วใช่ไหม?”

ฝูงเด็กพยักหน้าระรัว แต่ละคนเหมือนกระต่ายน้อยขวัญผวา

ฉู่เฉียวยิ้มบางๆ ตาข่ายเหวี่ยงออกไปเรียบร้อย รอแค่ปลาน้อยว่ายเข้ามา ต่อให้เด็กพวกนี้มีน้ำใจถึงขั้นยอมถูกทำโทษจนตายก็ไม่ปริปาก หรือต่อให้พูดออกไป คนของคฤหาสน์จูเก่อก็ใช่ว่าจะเชื่อ ทว่าบ่าวทั้งเรือนชิงซานต่างเห็นกับตาว่าคนของจูซุ่นพานางมาส่งที่คฤหาสน์ของจูเก่อสี อาศัยข้อนี้ เขาก็ดิ้นไม่หลุดแล้ว ม้วยมรณัง... อย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เหลือแค่ว่า เขาจะตายด้วยวิธีใดเท่านั้น

เหลือบมองนาฬิกาทรายแวบหนึ่ง เวลากำลังเหมาะเจาะ ยังทันให้ย่องกลับไปรับเสี่ยวปาที่หนีออกมาทางประตูหลัง

ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่ง

ขณะจะไปจากประตูใหญ่ มือข้างหนึ่งพลันคว้าข้อเท้าเปลือยเปล่าของนางไว้แน่น ฉู่เฉียวก้มมอง ที่แท้เป็นผู้คุ้มกันที่ยังตายไม่สนิท

“ก้มหัวให้คนชั่ว สมควรตาย!” ดวงตาฉู่เฉียวสาดประกายเย็นยะเยียบ ยกมือถอนลูกธนูบนศีรษะมันออกมา ซากร่างนั้นกระตุกสองสามทีก็แน่นิ่งไป

ฉู่เฉียวพยายามงัดมือของมันออก หลายต่อหลายครั้งก็ยังเอาขาออกมาไม่ได้ พลันหักใจอำมหิต ชักดาบที่ข้างเอวของผู้คุ้มกันคนนั้น เสียงดังฉับ สะบั้นมือของมันจนขาด!

ลี หลินลี่...ผู้แปล