วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

จอมนางจารชนหน่วย11 (ตอนเจ็ดปีไม่เจอหน้า)


ทะเลสาบสีเขียวมรกต ยามนี้ถูกหิมะปกคลุม ทิวทัศน์สองฟากฝั่งดั่งภาพเขียน ระเบียงยาวสลักลายวิจิตร แต่งแต้มด้วยเกล็ดหิมะขาวสะอาด สะพานหินโค้งทอดยาวถึงศาลาแปดเหลี่ยมหลังหนึ่งที่กลางบึง
ในศาลา ยืนอยู่ด้วยเงาร่างสองสาย บุรุษสวมเสื้อคลุมขนเตียว รูปโฉมสง่างาม คิ้วเรียวยาว นัยต์ตาพราวระยับ ใบหน้าแฝงเสน่ห์มนต์มารจางๆ ส่วนสตรีอายุไม่เกินสิบห้าสิบหก สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว ยิ่งขับความจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
สองคนนี้ ก็คือจูเก่อเยว่และฉู่เฉียว
“ข้าไม่ได้อยากช่วยเจ้า แต่บังเอิญเห็นเว่ยซูโหยวแล้วรู้สึกขัดนัยน์ตา ดังนั้นเจ้าไม่ต้องสำนึกบุญคุณ”
สตรีเงยศีรษะขึ้น สีหน้าเย็นชาเมื่อเอ่ย “ข้าก็ไม่คิดจะสำนึกบุญคุณอยู่แล้ว”
จูเก่อเยว่แย้มยิ้ม “ยังรั้นเหมือนเดิม นี่ก็เจ็ดปีแล้ว ดูท่าเยียนสวินคงไม่ได้สอนเจ้าว่าอะไรเรียกว่าความกลิ้งกลอก”
“ท่านก็เช่นกัน ดูท่าผู้วิเศษบนเขาโว่ซาน คงไม่ได้สอนท่านว่าอะไรเรียกว่าโง่เง่า ยังคงยโสโอหังไม่เปลี่ยน”
เพิ่งสิ้นเสียง จูเก่อเยว่เลิกคิ้วคราหนึ่ง ร่างพลันทะยานถอย จังหวะเดียวกัน สาวน้อยซึ่งเดิมทียืนมั่นกับที่ได้ถลันขึ้นหน้า ท่าเท้าพิสดาร ท่าร่างปราดเปรียว พุ่งฝ่ามือฉกใส่ จูเก่อเยว่ยกแขนป้องปัด สองมือตะปบข้อมือของสาวน้อย ฉู่เฉียวถอยกลับฉับพลัน หมุนตัวตวัดขาเตะ ยามนั้นตกถึงนอกศาลา สองเท้าเหยียบผิวน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง หิมะขาวทั่วพื้นปลิวคลุ้งขึ้นมา
กระบี่ในห่อผ้าสีเขียวหลุดจากฝัก ส่องประกายคมปลาบ กวัดแกว่งแหวกว่าย เริงร่ายพิสดาร ร้อยเปลี่ยนพันแปลง คลุกเคล้าเศษหิมะ พัดพลิ้วอลวน
จูเก่อเยว่สองมือว่างเปล่า เอื้อมเด็ดกิ่งเหมย ดอกขาวแซมประดับ ตวัดออกรับศึก
มองจากที่ไกล เพียงเห็นท่ามกลางหิมะพรั่งพรู เหนือทะเลสาบน้ำแข็ง หิมะทับถม พสุธาขาวใส เงาร่างสองสายโรมรันพันตู กระบวนท่าดุเดือด กลับแฝงความอ่อนพลิ้วสุดบรรยาย สายลมวูบผ่าน ม่านหิมะคละคลุ้ง ดอกเหมยสองฟากปลิดปลิว แดงขาวสลับซ้อน ฟ้อนรำขับขาน กลางม่านฟ้าสลัวราง
เสื้อคลุมจิ้งจอกขาวของฉู่เฉียวปลิวไสวล้อลม กระบี่เลื้อยรุกดุจดั่งมังกรเหิน ฝีมือไม่ย่อหย่อนไปกว่าจูเก่อเยว่
จังหวะนั้นเอง ไม่ทราบเพราะเหตุใด ฝ่าเท้าลื่นไถล กระบี่ยาวถูกกิ่งเหมยแทงใส่ ลอยลิ่วหลุดมือ ฉู่เฉียวสะท้านเฮือก มือเปล่ายันพื้นหมายลุกยืนขึ้นมา มิคาด ใต้เท้าปรากฏเสียงดังเปรียะ ชั้นน้ำแข็งปริแตก มวลน้ำเย็นจัดผุดซึมขึ้นมา สาวน้อยตะลึงวูบ เปล่งอุทานคำหนึ่ง แต่คิดพลิกตัวหลีกหนีกลับไม่ทันการแล้ว เรือนร่างโคลงวูบ ร่วงดิ่งลงไป
ว่าเร็วไม่เร็ว ว่าช้าไม่ช้า จูเก่อเยว่สีหน้าตื่นตระหนก เคลื่อนขยับเร็วรี่ คว้าแขนฉู่เฉียวแน่นหนา แล้วออกแรงสุดเหนี่ยว ดึงกลับขึ้นมา
“ท่านยังโง่เง่าไม่เปลี่ยนจริงๆ!”
ชั่ววูบประกายไฟ มีดสั้นเย็นเฉียบจ่อใส่คอหอยของจูเก่อเยว่ สาวน้อยแค่นเสียงเย็นชา “ท่านในอดีตก็ถูกข้าหลอกล่อจนหัวหมุน บัดนี้เจ็ดปีพ้นผ่าน ปฎิภาณกลับมิได้พอกพูน”
จูเก่อเยว่ยิ้มเย็น เบะปากอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าจะต้องมั่นใจในตัวเองตลอดเวลาขนาดนั้นด้วยหรือ”
มีดสั้นคมกริบกุมมั่นในอุ้งมือของจูเก่อเยว่ ปลายมีดแหลมคมจ่อที่กลางหลังของฉู่เฉียว แค่ขยับเพียงนิด ก็ทิ่มทะลุจุดตาย
สองมีดสองคม! ถึงกับไม่อาจชี้วัดต่ำสูง!
ลมหนาวกวาดผ่าน พัดเอาเกล็ดหิมะหนาวเย็นกระทบผิวหน้าของทั้งคู่ พวกเขาใกล้กันอย่างยิ่ง ลมหายใจรดประชิด ผิวหนังสนิทแนบ มองไกลๆ ยังเข้าใจว่ากอดรัดเร่าร้อน พร่ำพรอดความนัย มีเพียงเกล็ดหิมะและดอกเหมยที่อยู่ใกล้จึงสามารถรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดชนิดนั้น
“จูเก่อเยว่ ความแค้นระหว่างท่านกับข้าลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ไม่มีวันเหือดแห้งชั่วกาล วันนี้ข้าไม่ฆ่าท่าน เพียงเพราะข้าไม่อยากให้เดือดร้อนถึงเยียนสวิน ศีรษะท่านข้าขอฝากไว้บนคอท่านชั่วคราว มาตรแม้นข้ายังมีชีวิตหนึ่งวัน ท่านก็ไม่ใช่เจ้าของมันหนึ่งวัน”
“อาศัยเจ้า?” จูเก่อเยว่แค่นเสียงออกจมูก
“อาศัยข้า!” น้ำเสียงของฉู่เฉียวเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ตอกย้ำทีละคำ “ลูกหลานบ้านตระกูลจิง ต้องไม่ตายเปล่า”
“ดี!” มือหนึ่งคลายออก เบี่ยงร่างถอยห่าง เก็บกระบี่บนพื้น จูเก่อเยว่หยัดยืนสูงสง่า กล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะรอเจ้า รอวันที่เจ้ามีคุณสมบัตินั้น ค่อยมาเอากระบี่เล่มนี้คืนไป”
ลมหนาวกรูเกรียว ฉู่เฉียวยืนมั่นบนที่เดิม มองดูเงาหลังจูเก่อเยว่ค่อยๆ ลับลา ฝ่ามือที่ข้างกาย ม้วนกำแน่นขึ้นทุกที
ทุกสิ่งเมื่อครู่นี้ ก็แค่ละครฉากหนึ่ง...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น