อากาศแจ่มใสดีมาก
เหมือนกับตอนที่เธอยังอยู่ที่นี่
กุหลาบในห้องบานสะพรั่ง ใบอ่อนๆที่เพิ่งแตกยอดออกมาถูกถ่าวเอี้ยน(สุนัข)
กัดจนไม่เหลือ เซียงซิ่วเคยพามันไปหาหมอ ผลตรวจออกมาว่าถ่าวเอี้ยนขาดวิตามิน ตอนที่เรารู้จักกันใหม่ๆ
เธอเองก็ขาดวิตามินเหมือนกัน เส้นผมเธอทั้งแห้งกรอบและแตกปลาย
ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักดูแลตัวเองเสียเลย
ฉันพาไปกินข้าวนอกบ้าน เธอกินอาหารที่ฉันสั่งทุกอย่างด้วยความเอร็ดอร่อย
บ่อยครั้งที่เธอยักคิ้วหลิ่วตาพลางยิ้มมาทางฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาทันที
หลายปีจากนั้น ฉันเคยสั่งห้องครัวให้ตุ๋นรังนก แต่เธอกลับกินมันทีละช้อนทีละช้อนอย่างฝืนทนเต็มที คล้ายว่ารังนกนั่นขมเสียเหลือเกิน
......ฉันร้ายกาจกับเธอ ฉันรู้ตัวดี
มีช่วงหนึ่ง ฉันเลี่ยงที่จะพบหน้าเธอ
เพราะกลัวว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่ผ่านไปสักพักฉันกลับรู้สึกร้อนรุ่มสับสน
ไม่ว่าจะทำอะไรก็อดทนทำได้ไม่นาน
ผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้เรื่องของเราดีมักแนะนำฉันว่า ให้กลับบ้านไปดูเสียหน่อย
คำว่า “กลับบ้าน” ของเขา ฉันรู้ว่าหมายถึงกลับไปยังที่ที่มีเธออยู่
มีอยู่คืนหนึ่ง ไม่รู้เธอนอนฝันถึงอะไร
อยู่ดีๆก็ละเมอร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ ร้องจนกระทั่งรู้สึกตัวตื่น ฉันกอดเธอไว้แนบอกหวังจะปลอบใจ
แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าของฉัน กลับมีท่าทีหวาดผวาดิ้นรนผลักไสฉันออกมา
แววตาที่เธอมองฉันในตอนนั้นฉันคงไม่มีวันลืมชั่วชีวิต มันทำให้ฉันเจ็บปวดเหลือทน
ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่ยอมให้เธอนอนอยู่ในห้องฉันอีกต่อไป โดยอ้างว่าเธอน่ารำคาญ ละเมอเสียงดัง ท่านอนเธอก็ไม่งามเอาเสียเลย
ฉันให้เธอออกไปจากห้องได้
แต่ไม่สามารถทำให้เธอออกไปจากใจได้
ค่ำวันหนึ่งนัดกินเลี้ยงกับเพื่อนๆที่ห้องคาราโอเกะ
คุณชายเย่ที่นั่งตระกองกอดสาวสวยหน้าตาจิ้มลิ้ม พอดื่มจนได้ที่ก็คว้าไมค์ขึ้นมาครวญเพลง
“เงาหลอนใจ”
มีคนเคยถามฉันว่าเธอมีดีตรงไหนถึงลืมเธอไม่ได้แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว
แน่ละ...ฉันไม่เคยลืมรอยยิ้มของเธอ
รอยยิ้มที่สดชื่นแจ่มใสยิ่งกว่าสายลมในฤดูใบไม้ผลิ คนที่ไม่เคยพบเธอไม่มีทางเข้าใจหรอก......
เพลงจบลงแล้ว
คุณชายเย่ร้องได้อย่างเข้าถึงอารมณ์
สาวๆทั้งหลายต่างพากันยิ้มร่าเอาใจ
ทุกคนตบมือชื่นชมว่าเขาร้องดี
มีแต่ฉันเท่านั้นที่เห็นน้ำตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาของเขาคู่นั้น เขาคงดื่มเข้าไปมากจริงๆ
ตั้งแต่นั้นมา ฉันระมัดระวังตัวเองตลอดที่จะไม่ดื่มจนเมามายกระทั่งเสียการควบคุมเหมือนคุณชายเย่ในคืนนั้น
......เธอเป็น “เงาหลอนใจ”ของฉัน มีแต่ฉันเท่านั้นที่รู้
ที่เธอกลับมาคราวนั้น ฉันดื่มหนักจนเมามาย
เพราะไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเธออย่างไร
บางทีการดื่มเหล้า อาจจะนำมาใช้เป็นข้ออ้างที่จะดีหรือไม่ดีกับเธอก็เป็นได้
ฉันล่ะหมั่นไส้เจ้าสุนัขตัวน้อยที่เธอซื้อมาเสียจริง ...รวมทั้งเธอด้วย
ตอนฉันพาเธอไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่ฮ่องกง
เธอบอกว่าแหวนที่นางเอกใส่สวยดี นานมาแล้วที่ฉันไม่เคยเห็นเธอชมว่าอะไรสวยต่อหน้าฉันสักที จึงถือโอกาสตอนไปติดต่องานที่เบลเยี่ยม
เข้าไปเลือกเพชรน้ำงามเม็ดหนึ่ง
นำไปให้ร้านจิวเวลลี่ทำเป็นแหวนให้เหมือนกับที่นางเอกในหนังคนนั้นใส่ แต่พอฉันเอาแหวนมาให้เธอ
ท่าทีของเธอที่แสดงออกมา ทำให้ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ชอบมันสักนิด
ต่อมาฉันถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่า
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ฉันเปลี่ยนเป็นคนที่น่าสมเพชแบบนี้
แม้แต่จะทำให้เธอยิ้ม
สำหรับฉันแล้วมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน
ฉันคิดว่า ถ้าสามารถหย่ากับภรรยาได้ และไม่รู้สึกละอายต่อมโนสำนึกในใจ เธอจะรู้สึกดีกับฉันขึ้นบ้างไหม
แต่อย่างไรเธอก็คงไม่มีวันแต่งงานกับฉัน ......เพราะเธอไม่เคยรักฉันเลย
ตอนที่พบเธอครั้งแรก
เธอยังเป็นแค่สาวน้อยคนหนึ่งที่ดัดจริตใส่รองเท้าส้นสูง แต่งหน้าแต่งตาอย่างดี ในมือประคองถาดที่ใส่กรรไกรตัดริบบิ้นอยู่
ฉันเผลอตัดกรรไกรถูกมือเธอเข้า
แต่เธอไม่ร้องออกมาสักคำ หลังจากนั้นฉันตามหาเธอเจอที่หลังเวที เธอก็ยังทำเป็นดื้อรั้นเหมือนเด็กๆ
อย่างไรเธอก็อ่อนกว่าฉันรอบหนึ่ง ฉัน30ปีแล้ว
เธอเพิ่งจะ18 ตอนทีฉันอายุ 23
เธอก็เพิ่งจะ11ขวบเท่านั้น
ที่จริงแล้วเธอไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตแม้แต่น้อย
ฉันใช้แววตาคมปลาบจ้องมองไปที่เธอ เหมือนกับแมวตัวหนึ่งที่จับหนูเอาไว้ได้...
แค่หยอกเล่น... ฉันอ้างกับตัวเองว่า แค่หยอกเล่น
แต่ในใจฉันรู้ดีว่า เวลาเธอยิ้มช่างน่ามองจริงๆ มีลักยิ้มผุดขึ้นที่สองข้างแก้มคล้ายตุ๊กตา
ทำให้ฉันอดใจไม่อยู่ อยากจะเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของ
ฉันไม่เคยมีของเล่นเป็นตุ๊กตามาก่อน เพราะฉันเป็นผู้ชาย
คุณพ่อมักสอนเสมอว่า อย่าเอาแต่เล่นจนลืมตัว
ตอนนั้นฉันตระหนักดีว่า ไม่มีทางปล่อยเธอไปได้
ดังนั้นจึงเลือกวิธีที่เลวร้ายที่สุด เพราะถ้าเธอเกลียดฉัน นั่นจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นบ้าง
ฉันไม่สามารถควบคุมท่าทีที่มีต่อเธอได้อีกแล้ว ถ้าเธอดีกับฉันขึ้นมา
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะกลายสภาพไปเป็นแบบไหน ดังนั้นฉันยินดีให้เธอเกลียด
บางทีน่าจะเป็นการดีกว่า
......ฉันร้ายกาจกับเธอ ฉันรู้ตัวดี
เพราะฉันไม่รู้จะดีกับเธอได้อย่างไร
ถ้าฉันดีกับเธอ
นั่นก็ทำให้ฉันคิดถึงคุณพ่อขึ้นมา ถ้าฉันดีกับเธอ เธอก็จะต้องส่งยิ้มมา
เมื่อเห็นรอยยิ้มเธอ
ฉันรู้สึกเหมือนใจกำลังจะสลาย ฉันกลัวความรู้สึกแบบนี้
มันเป็นสัญญลักษณ์ของการเสียศูนย์
เป็นตัวแทนของความอ่อนแอ ดังนั้นฉันยินดีร้ายกาจกับเธอ เพื่อเธอจะได้ร้ายตอบกลับมา
ตอนที่อยู่โรงพยาบาลในวันนั้น ฉันรู้สึกท้อใจอย่างบอกไม่ถูก คิดว่าถ้าไม่รุกล้ำเข้าไปในชีวิตของเธอ
บางทีพวกเราคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้
ฉันอยากให้ทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้ เหมือนกับว่าไม่เคยมีการเริ่มต้นมาก่อน...
แต่ทำไมเธอถึงย้อนกลับมาอีก
เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสัญญาฉบับหนึ่ง ฉันก็ยังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อยู่นั่นเอง
ถึงได้พูดจาทำร้ายจิตใจเธอไปแบบนั้น
แต่พอเธอจากไป ฉันกลับรู้สึกผิดและเสียใจ
ฉันไม่อยากเห็นเธอทำท่าหวาดระแวง
หรือคุกเข่าวิงวอนต่อหน้าคนอื่น
แต่ท่าทางที่เธอมาอ้อนวอนฉัน กลับยิ่งทำให้ฉันสมเพชตัวเองมากขึ้น
ฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนี้อีกต่อไป
รู้ทั้งรู้ว่าสัญญาฉบับนั้นเป็นกับดัก แต่ฉันก็ยังตัดสินใจแน่วแน่
ที่จะให้มันจบลงเสียที ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีทางจะควบคุมได้อีกแล้ว
เมื่อวันที่ไปชายทะเล
เป็นครั้งแรกที่ฉันปลดปล่อยตัวเอง
เพราะโอกาสแบบนี้ ถูกกำหนดไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงครั้งเดียว เหมือนกับที่ชะตากำหนดให้ฉันได้พบเธอ
เหมือนกับที่ชะตากำหนดว่าเราไม่อาจอยู่ด้วยกัน เหมือนกับที่ชะตากำหนดให้ฉันไม่สามารถรั้งเธอไว้กับตัว
......ฉันร้ายกาจกับเธอ
ฉันรู้ตัวดี
นั่นเป็นเพราะฉันไม่มีหนทางจะควบคุมตัวเองได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ฉันบอกตัวเอง ....แบบนี้น่ะดีแล้ว
ให้ฉันค่อยๆลืมเธอไปจากใจ
ลืมกิริยาท่าทางของเธอ ลืมรอยยิ้มของเธอ ลืมสิ่งที่ฉันเคยครอบครอง ลืมสิ่งที่ฉันเคยพบเจอ
ลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น....ก็ยิ่งดี
****เเปลไทยโดย Lee Linli
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น